
ถ้าหากใครที่มีโอกาสไปค่ายฯ ครั้งที่ 4 กับ ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ABAC ณ โรงเรียนบ้านขุนน้ำคับ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก เมื่อกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 คงจะรู้จักท่าน อาจารย์อำนาจ รักประกิจ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้
อาจารย์อำนาจ เป็นครูบ้านนอกที่มีอุดมการณ์สูงส่งคนหนึ่ง ผู้เสียสละชีวิตสุขสบายส่วนตัว เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก ๆ ตามชนบทที่ทุรกันดาร
อาจารย์อำนาจ เล่าให้พวกเราฟังถึงเรื่องราวของแกสมัยที่ได้รับการบรรจุเป็นครูใหม่ ๆ โดยได้เข้ามาประจำเป็นครูคนเดียวที่ โรงเรียนบ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าอะไรผมจำไม่ได้แล้ว ชาวบ้านและเด็ก ๆ จึงพูดไทยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
และในสมัยนั้นการเดินทางไปยังหมู่บ้านลำบากมาก คือต้องเดินเท้า หรืออย่างดีก็ใช้มอเตอร์ไซต์ (ฮ่าง) ยิ่งหน้าฝน ยิ่งยากลำบากเข้าไปกันใหญ่ หมดสิทธิ์ที่จะเดินทาง ถึงขนาดต้องอาศัยให้ทหาร ตชด. ใช้เฮลิคอปเตอร์ ขับไปส่งที่โรงเรียน เพราะเส้นทางที่ใช้สัญจรโดยน้ำท่วมหมด
แล้วอาจารย์อำนาจก็ต้องอยู่ที่โรงเรียนตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ คือต้องค้างที่โรงเรียนเลย จะกลับบ้านก็ต้องรอให้ทหาร ตชด. ใช้เฮลิคอปเตอร์มารับ บางทีก็ต้องอยู่เป็นเดือนๆ หมู่บ้านแห่งนั้นจึงคล้าย ๆ ว่า จะถูกตัดขาดจากสังคมเมือง ดังนั้นท่านอาจารย์จึงเปิดโรงเรียนสอน และจัดวัน-เวลาในการสอนเอง โดยไม่ยึดตามกำหนดเวลาทั่วไป คือสอนตอนเช้าถึงเที่ยง ช่วงเย็นก็ปล่อยให้เด็กๆ กลับมาสอนพ่อแม่ทำไร่ บางทีก็สอนเสาร์-อาทิตย์ด้วย เวลาที่โรงเรียนทั่วไปเขาปิดเทอมกัน แกก็ยังเปิดสอน
ด้วยความน้อยใจในโชคชะตา ตามประสาคนหนุ่ม (เรื่องผิดหวังในความรัก)ประกอบด้วยความอึดอัดกับระบบการศึกษาของหน่วยราชการ ที่วันๆ นั่งสบายในห้องแอร์ คอยวางนโยบายที่ตัวเอง ไม่ได้เป็นคนปฏิบัติเอง อีกทั้งความเห็นอก เห็นใจ ชาวบ้าน-ชาวเขา ชนกลุ่มน้อย ที่ไม่ได้รับความเท่าเทียมกันในเรื่องโอกาสทางการศึกษา และโอกาสในชีวิต จากคนในเมืองและจากราชการ
สิ่งต่าง ๆ ในใจเหล่านี้ ทำให้เวลาว่าง ๆ อาจารย์อำนาจจึงชอบแต่งกวี เขียนกลอน ระบายความรู้สึกต่างๆ ในใจออกมาหลายบท แล้วนำบทกลอนเหล่านั้น แปะไว้ตามฝาอาคารเรียนเก่า ๆ ตัวอย่างบทกลอนเหล่านั้น ก็มีดังนี้ เช่น
“โรงเรียนมีครูหนึ่งคน
อยากจะมีใครสักหนึ่งคน
อดทนอยู่ห่างไกล ความสบาย”
ระบายความรู้สึกเรื่องชีวิตคู่ อยากมีแฟน
“ใช่จะวอนให้เห็นใจ
ความสำนึกต่อเพื่อนไทย
ไทยกันไทยใยแตกต่างกัน”
ความรู้สึกเห็นใจเด็ก ๆ ชาวไทยภูเขา ชนกลุ่มน้อย
แล้ววันหนึ่ง รถของชุดสำรวจหาข้อมูลของคณะผู้จัดทำรายการ โรงเรียนของหนู ก็สังเกตเห็นธงชาติไทย ที่ชูเด่นเป็นสง่า เป็นที่สะดุดตา ท่ามกลางป่าเขา ในเวลาที่โรงเรียนทั่วไปเขาปิดเทอมกัน ทางคณะสำรวจก็สนใจ และสงสัยว่าหน่วยงานใด หรือโรงเรียนที่ไหนมาเปิดตรงนี้ เวลานี้ คณะสำรวจดังกล่าวจึงเข้าไปดู
หลังจากรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของโรงเรียน ชาวบ้าน และชีวิตของอาจารย์อำนาจแล้ว และสภาพโรงเรียนก็เป็นที่น่าสนใจ ตรงกับเป้าหมายของรายการ โรงเรียนแห่งนี้จึงถูกนำเสนอในรายการโรงเรียนของหนู ในครั้งที่ 2 ของการออกอากาศ
ซึ่งบังเอิญว่าในเวลานั้นทางรายการได้จ้างวานให้ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แต่งเพลงประจำรายการ
ปู พงษ์สิทธิ์ จึงได้มีโอกาสดูเทปรายการ ในตอนที่ไปถ่ายที่โรงเรียนแห่งนี้ และเห็นได้บทกลอนต่างๆ ตามฝาพนังโรงเรียนที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงนำบทกลอนเหล่านั้น และเรื่องราวนั้นๆ มาแต่งเพลงโรงเรียนของหนู เป็นเพลงประจำรายการ
และหลังจากที่ได้นำเพลง “โรงเรียนของหนู” มาใส่ไว้ในอัลบั้ม “บันทึกการเดินทาง” พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ก็ส่งเงินจำนวน 60,000 บาท มาให้อาจารย์อำนาจ เป็นค่าลิขสิทธิ์ อาจารย์อำนาจจึงใช้เงินเหล่านั้น มาซ่อมแซมอาคารเรียน และพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น
จากเรื่องราวที่ผมได้ฟังมาทั้งหมดนี้ จึงสามารถพูดได้ว่าเพลงโรงเรียนของหนู มีที่มาจากชีวิตของครูเล็ก ๆ คนหนึ่ง

ปัจจุบันนี้อาจารย์อำนาจ คงจะเป็นครูสอนประจำอยู่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามความตั้งใจของแกที่เคยบอกพวกเราไว้ว่า สักวันถ้าแกสามารถทำให้โรงเรียนบ้านขุนน้ำคับที่เราไปออกค่าย ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แกก็จะขอย้ายตัวเองไปสอนที่โรงเรียนห่างไกล แห่งใดแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อช่วยพัฒนาโรงเรียนแห่งนั้นและโรงเรียนต่อ ๆ ไป เพราะจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังมีโรงเรียน ยังมีเด็ก ๆ ที่รอความช่วยเหลืออีกมาก
สำหรับผมแล้ว อาจารย์อำนาจไม่ได้เป็นแค่พ่อพิมพ์ของชาติแค่นั้น แต่เพราะอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ความมุ่งมั่น ทำให้ท่านเป็นมากกว่าตำนานที่มีชีวิต และเป็นเกียรติสำหรับผมและชมรมค่ายฯ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มีโอกาสสัมผัส ได้พบเจอครูเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
ทุกครั้งที่ได้ฟัง-ร้องเพลง “โรงเรียนของหนู” ผมจะหวนระลึกถึงเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของแก และทำให้ผมมีกำลังใจ ในการที่จะทำอะไรเพื่อสังคม แม้ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมทำก็เปรียบได้แค่ผงฝุ่น เมื่อเทียบกับสิ่งที่อาจารย์อำนาจได้ทำไว้
อรรณพ นิพิทเมธาวี
เสียงเพลงคือส่วนหนึ่งของชีวิต
บรรเลงเพลงชีวิตเพลงฝัน
มันปลูกฝังในดวงจิต
ให้กำลังใจแห่งชีวิต
ผูกพันธมิตรด้วยเสียงเพลง
ชอบน้าปูมาก ๆ เลยค่ะ ชอบผลงานเพลงทุกชุดเลยค่ะ สู้ต่อไปนะคะ เด็กวัง……..คะ
อยากฟังชุดใหม่จัง

ผมมีงานเพลงแบบนี้อยู่เพลงนึงครับ………เขียนปี2530/31นี่แหละ………ดูสารคดีช่อง7…..ครูขี่ม้าไปสอนนักเรียน…..จากเขาลูกนึงไปอีกลูกนึง….กว่าจะกลับมาสอนโรงเรียนแรกก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนเดือน…ในช่วงไม่อยู่ต้องอัดเทปไว้ให้นักเรียนเปิดฟังกันเอง….ชื่อเพลง…ครูหลังม้าครับ……ทำเป็นงานใต้ดินปี2544ที่ผ่านมาครับ……………….ลองดูเนื้อครับ……………….1บนยอดเขาปลายดอย….เด็กตัวน้อยกำลังรอ……วันนี้จะมาไหมหนอ….เฝ้ารอด้วยความหวัง….หวังเฝ้าหวัง..วันนี้ครูคงมา……………2อันสังคมเมืองไทย……ช่างยากไร้การศึกษา…..เด็กตัวน้อยในพนา…ตั้งตารอคุณครู…..ครูโอ้ครู….ครูหลังม้าใจดี……….3…กลางดงดอยป่าเขาแว่วเสียงเล่าอาขยาน….นั่นเป็นดั่งสัญญาณ….ว่าครูนั้นกลับมาเยือน…ครึ่งค่อนเดือนถึงเยือนเราสักที……..4..วันนี้ครูคงลา…..คุณครูจ๋าเราจะรอ…..พรุ่งนี้จะนานไหมหนอ….เจ้ารอด้วยความหวัง………หวังเจ้าหวัง…..ครูหลังม้าจะกลับมา…………………//////…….อยู่ในชุดสหายพันจอกครับ……..ป้อม….กีตาร์เมา……
ชอบพี่ปูมาก ๆ ๆ ๆ ค่ะ

เมื่อไรพี่ปูจะมาที่โคราชอีกคะ อยากถ่ายรูปกับพี่ปูค่ะ