วัฒน์ วรรลยางกูร

“คนสร้างบ้าน” คือเพลงที่ค่ายฯ ทุกค่ายฯ ร้องกัน บางค่ายฯ จะมีท่าประกอบ (อธิบายท่าไม่ถูก) แต่ละค่ายฯ ร้องกันหลายจังหวะ หลายๆ version บางค่ายฯ ร้องต่อจากเพลง “เราอาสา” …แต่ที่แน่ ๆ ชมรมค่ายทุกค่ายฯ ร้องเพลงนี้

เพลง คนสร้างบ้าน ถูกเผยแพร่ถูกสาธารณะครั้งแรก ในนามของวง “โคมฉาย” วงดนตรียุค 14 ตุลา และอีกครั้งโดยวง “โฮป” ในอัลบั้มฝนแรก

มีไม้กระดาน กระเบื้องมุงหลังคา
มีเสาเอามา ไม่รอช้า สร้างบ้านเรา
มีค้อนตะปู ตีตอกดังไม่เบา
มีกบเลื่อยตกเสา แต่งกระดานตามต้องการ

*มีเงิน มีเลื่อยมีไม้ ยังไม่เป็นบ้าน
แรงงาน ของคนสิ สร้างทุกสิ่งสรรค์ได้
เกรียงไกร ผู้ใช้แรงงาน สร้างโลกโสภา

แรงเหงื่อและแรงงาน เป็นบ้านอาศัยมา
ควรมองเห็นค่า แห่งแรงงานกรรมกร
ฮุย ฮุย เล้ ฮุย ฮุย ฮุย ฮุย เล้ ฮุย
ฮุย ฮุย เล ฮุย ฮุย เล ฮุย ฮุย ฮุย เล ฮุย

Download เนื้อเพลง คอร์ด Guitar – Click*

จากนี้ไปเป็น…ที่มาที่ไปของเพลงนี้ จากปากคำของผู้ประพันธ์เพลงนี้ “วัฒน์ วรรลยางกูร”

อรรณพ นิพิทเมธาวี : ช่วยเล่า…ที่มาที่ไปของเพลงนี้หน่อยครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : เป็นเพลงที่แต่งในช่วงทำกิจกรรมที่วรรณศิลป์ ม.รามคำแหง เพลงที่แต่งตอนนั้นก็มี “จากแผ่นดินสู่ดวงดาว” ของ วงรวมฆ้อน ที่โคมฉายก็มี “ปูนา คนสร้างบ้าน” อีกไม่นาน 3 เพลง ประมาณ 2517 – 2518

อรรณพ นิพิทเมธาวี : พี่แต่งเองทั้งคำร้องทำนองเลยหรือครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : อ่า.. ทำนองก็ดัดแปลงมาจากเพลงเก่า เพลง… ช่วงท่อนธรรมดาเป็น “บ้านไร่นาเรา” (ฮัมเพลง) “ฟังเสียงกระดึง ดังก้องถึงมา เป็นสัญญา แด่ แด แด๊ แด แด่ แด” แล้วไปเพี้ยนโน๊ตนิดหน่อยวรรคที่ 3 คือตอนแรกที่แต่งมีเพื่อนชอบเพลงบ้านไร่นาเรา บอกว่า…. เฮ้ย! เพลงนี้เพราะเอามาแต่งเนื้อร้องใหม่ที

อรรณพ นิพิทเมธาวี : เพลงบ้านไร่นาเรานี่ของใครครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : เป็นเพลงในหนังสมัย พ.ศ. 2482-2483 อะไรประมาณนี้

อรรณพ นิพิทเมธาวี: เป็นเพลงลูกทุ่งหรือครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : เค้าพูดยังถึงชีวิตชาวนา แต่เป็นลูกทุ่งยุคใส่บูท สมัยจอมพลป. น่ะ เค้าเรียก ชาวนาวัฒนา ชาวนาสมัยใหม่ใส่บูทแบบฝรั่ง แล้วท่อนแยกก็เอามาจากเพลงโทน “โทนเอย .. เหลียวมองหน้าหลัง ดูบ้างหรือไม่ สาวใด ฮื้อ ฮือ …” เรียกว่าทำนองดัดแปลงมาจากเพลงเก่าอย่างนี้ก็ได้

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แล้วตอนบันทึกเสียง

วัฒน์ วรรลยางกูร : ก็วงโคมฉาย คือ “วินัย บุญช่วย” เป็นชื่อจริงของ “ศิลา โคมฉาย” นะ เขาก็มาร่วมกิจกรรมที่ราม ชมรมวรรณศิลป์ เขาอยู่พรรคสัจธรรม เราอยู่วรรณศิลป์ มันก็ห้องใกล้ๆ กัน ในตึกกิจกรรม นั่นแหละ ก็มาคลุกคลี แล้วก็เอาไป คือไม่ใช่ว่าเราแต่งแล้ว…เฮ้ย เอาไปร้องเลยอย่างนั้นนะ อย่างเวลาไปค่าย เมื่อก่อนเขาเรียกไปสัมมนา ยุคนั้นนิยมสัมมนานั่งเถียงกันเรื่องการเมือง ศิลปวัฒนธรรม แล้วเวลาว่างก็ก็เล่นกีตาร์ร้องเพลงกัน คือมันเรียกเพลงค่ายเพราะเกิดมาจากบรรยากาศค่ายนั่นแหละ มันแต่งไว้ใช้ในกิจกรรมสัมนาแล้วมานั่งร้องเพลงกัน มันเป็นอารมณ์นักศึกษา ปี 1 ปี 2 ไงตอนนั้นเราอยู่ปี 1 ปี 2 มันก็เลยเข้ามากบรรยากาศค่ายที่เกิดมันก็เกิดจากงานค่ายนั่นแหละ แต่เป็นค่ายวรรณศิลป์

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แล้วพี่ศิลา โคมฉายก็เอาไปบันทึกใช่ไหมครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : ใช่ บันทึกเสียง

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แล้วขั้นตอนการบันทึก ดนตรี เสียงร้อง พี่มีส่วนเกี่ยวข้องไหมครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : ไม่เกี่ยวเลยเขาไปทำกันเอง ตอนนั้นมันแบบว่าผมไม่ได้เน้นเรื่องดนตรี ผมมุ่งเน้นทางหนังสือพิมพ์เขียนหนังสือมุ่งจะเป็นนักเขียน เลยละเลยเรื่องเพลงไป ทั้งที่จริงก็ชอบเพลงอยู่ เขาก็เอาไปทำกันผมไม่ได้ไปรู้เรื่องอะไรด้วย ไม่รู้ว่าเขาเอาเพลงอะไรไปด้วยซ้ำ มารู้ทีหลังก็เพลงออกไปแล้ว

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แต่ก็เป็นกลุ่มเพื่อนๆ กัน

วัฒน์ วรรลยางกูร : เออเป็นกลุ่มเพื่อน ยุคนั้นไม่ได้เค่งเครียดเรื่องลิขสิทธิ์อะไร ถือว่าแต่งเพื่อเผยแพร่ อยากให้คนเอาไปร้องเพื่อ มันมีประโยชน์ตต่อสังคม จุดมุ่งหมายที่เกิดมันมาอย่างนั้นเพียวๆ ยุคนั้นเรายังไม่ได้เข้าสู่ธุรกิจหรืออะไร

ปกเทป วงโคมฉาย
ปกเทป วงโฮป อัลบั้มฝนแรก

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แล้วยังไงต่อครับพี่ พี่เข้าป่าแล้วยังไง?

วัฒน์ วรรลยางกูร : ผมออกมา ผมมีเพลงอยู่ ช่วงนั้นคลุกคลีอยู่กับ “วงอมตะ” ก็ไปอัดเสียงกันที่ อริโซน่า ก็ไปเจอ “วงโฮป” ผมบอกมีเพลงอยู่ โฮปก็บอก งั้นก็เอามาดูสิ

อรรณพ นิพิทเมธาวี : เพลงโฮปนี่พี่แต่งเยอะนะ

วัฒน์ วรรลยางกูร : ก็ทั้งชุดนั่นแหละ “ฝนแรก” ทั้งชุดเลย แล้วผมก็ทิ้ง ผมมุ่งแต่หนังสือ สุเทพบอกอย่าทิ้งสิให้แต่งอีก ถ้าลุยอีกอาจได้เข้าวงการเพลงลึกแล้วก็ได้ ไอ้เราถนอมตัวน่ะ กูจะเขียนหนังสือๆ

อรรณพ นิพิทเมธาวี : แล้วพี่รู้สึกอย่างไรที่มันยังถูกร้องอยู่…ณ ปัจจุบัน

วัฒน์ วรรลยางกูร : ก็รู้สึกดี คือยุคนั้นมันถูกทาสีแดงไปหมดเพลงคอมมิวนิสต์นี่นะ ออกจากป่ามาผมยังไม่กล้าร้องเพลงตัวเองเลย แต่คนเขาก็เอาไปร้องกัน เฮ้ย….สุดท้ายเพลงมันยังอยู่เว้ย! “จากภูพานถึงลานโพธิ์” ผมยังไม่กล้าร้องนะ (แต่พี่ร้องบ่อย- หัวเราะ) เออ ช่วงหลังก็กลายเป็นเพลงประจำตัวไป ไปไหนก็มีแต่คนขอให้ร้องเพราะเพลงเหล่านี้มันหาฟังไม่ได้ตามสถานที่ทั่วไป (หัวเราะ) ตามผับก็ไม่ค่อยจะมี

อรรณพ นิพิทเมธาวี : อืมพี่นิดนึง…. เพลง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน” หรือ “จากภูพานถึงลานโพธิ์” คือจริงๆ แล้วมันชื่ออะไร

วัฒน์ วรรลยางกูร : ชื่อแรกมัน “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน” แต่คนฟัง ฟังจากวิทยุใต้ดินเขาก็นึกกันว่า เป็น “จากภูพานถึงลานโพธิ์” คือคิดว่าเป็นคนที่ภูพานร้องให้คนที่ลานโพธิ์ฟัง จริงๆ แล้วมันเป็นจากลานโพธิ์ถึงภูพานที่เราตั้งไว้ คือเล่าเรื่องไว้จากลานโพธิ์เดินทางไปถึงภูพาน แต่คนฟังเขานึกจากมุมของเขาว่าเป็นสิ่งที่คนร้องจากภูพานส่งมาถึงลานโพธิ์ แล้วก็เป็นอย่างนั้น

อรรณพ นิพิทเมธาวี : คิดอย่างไรกับ อัลบั้มเพลงค่ายฯ คือเพลง มันร้องกันแบบไม่รู้ของใครหลายๆ เพลงกว่าจะมาตามหากัน บางเพลงก็หาไม่ได้แล้ว

วัฒน์ วรรลยางกูร : ก็ดี ถ้ามีทุนในลักษณะที่เป็นมูลนิธิอะไรต่างๆ มาทำงานเรื่องนี้ คือยุคหลัง 6 ตุลา คนแต่งเพลงในยุคนั้นก็จะหลบไม่ค่อยเผยตัว ใช้นามปากกา ใช่ชื่อวง… ก็คือมันมีเรื่องน่าทำอยู่เยอะ ก็อาจช่วยๆ กันทำ อย่างเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วผมก็ไปทำบันทึกประวัติศาสตร์เพลงปฏิวัติ จริงๆ ก็ยังทำได้ไม่เบ็ดเสร็จหรอก แต่มันมีแรงทำได้แค่นั้น เหลืองานไว้ให้คนอื่นทำบ้าง

เพลงรุ่นหลัง 6 ตุลานี่มันมักเป็นเพลงที่เล่นกีตาร์กรุ๋งกริ๋งได้ดีนะ เอาไปร้องเวลาสัมนา ยุคพลังเพลงอะไรพวกนี้ ซึ่งตัวบุคคลเขายังอยู่ ตอนทำเพลงปฏิวัติก็ต้องข้ามเพลงพวกนี้ไป พื้นที่กว่าจะตัดให้เหลือ 25 เพลงก็ทะเลาะกันน่าดู น่าทำนะเรื่องเพลง เพลงค่ายเนี่ย

อรรณพ นิพิทเมธาวี : มันมีครั้งที่ 2 ที่ 3 ด้วยใช่ไหมครับ

วัฒน์ วรรลยางกูร : ใช่ แต่ ครั้งที่ 2 ที่3 นี่ผมไม่ได้ทำ แค่ไปร่วมงานเฉยๆ ก็…เป็นเรื่องน่าทำ ยุคนั้นมี วงที่มีเนื้อหาดูเป็นเรื่องราว วงน้ำค้าง วงนฤคหิต พลังเพลง ประกายไฟ วงเดอะกลาส ผมได้ฟังเพลง…จากวงเดอะกลาสเนี่ย และก็มีเพลงดีๆ ที่คนส่วนใหญ่ก็ยังจำ หากเรารื้อมาร้องใหม่ก็อาจจะติดปากขึ้นมาอีกก็ได้ แม้แต่เพลงคนสร้างบ้านผมก็ยังนึกไม่ถึงว่าคนจะยังจำอยู่ มารู้ทีหลัง อ้าว เป็นเพลงประจำค่ายไปเสียแล้ว

อรรณพ นิพิทเมธาวี : มันจะทดแทนเพลงเพื่อชีวิต (ที่เขาบอกว่าตายแล้ว) ได้ไหม

วัฒน์ วรรลยางกูร : อ๋อ… มันไม่เกี่ยวกันหรอก กระแสเพลงเพื่อชีวิตมันก็เป็นอารมณ์ของยุคสมัยหนึ่ง เมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยนมันก็ต้องตายไปเป็นธรรมชาติ จะว่ามันตายไปมันก็…พูดเล่นๆ มันพูดได้แต่ถ้าพูดจริงจังแล้ว มันก็อาจกระเทือนใจคนทำงาน จะว่าไปแล้วทุกอย่างมันเป็นกระแส มันมีคึกคักเข้มข้น และก็มีความจืดจาง เป็นธรรมดาแต่เพลงดีๆ คนก็ยังร้องกันอยู่ อย่างเพลง คนกับควาย ก็ร้องกันไปตลอดชาตินั่นแหละ

15 มิถุนายน 2550

สั่งซื้อ….อัลบั้มเพลงค่ายฯ