ต้นปี 2518 หลังจากมีชาวพัทลุงมาร้องเรียนทางการต่อ กรณี กอ.รมน. ฆ่าราษฎรลงถังแดงและได้ใช้วิธีการต่าง ๆ อีกมาก จนมีการแต่งตั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งต่อมามีข้อสรุปว่า “ประชาชนที่ถูกฆ่าและเผาลงถังแดงมีจริง แต่มีเพียง 50-60 คนและทั้งหมดต่างเป็น ผกค. โดยมีหลักฐานยืนยันได้จากทางอำเภอและ อ.ส.” (“ผู้ตรวจราชการมหาดไทยยอมรับฆ่าถังแดงมีจริง,” ประชาธิปไตย, 26 มีนาคม 2518) แม้ทางการจะออกมายอมรับว่า เหตุการณ์ถังแดงมีอยู่จริง แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีกระบวนการไต่สวนค้นหาความจริงเพื่อจัดการกับผู้ที่กระทำความผิด เป็นเวลากว่า 50 ปีที่เหตุการณ์เผาลงถังแดงเกิดขึ้น แต่ร่องรอย เรื่องราว และความทรงจำยังคงปรากฏให้เห็นในพื้นที่ชุมชนลำสินธุ์ อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง

นอกจากจะเป็นพื้นที่ซึ่งว่ากันว่า เป็นหนึ่งในสถานที่เกิดเหตุและบุคคลที่เคยมีประสบการณ์ร่วมในช่วงเวลานั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ชุมชนลำสินธุ์ยังเป็นพื้นที่ผลิต ความทรงจำร่วม เกี่ยวกับเหตุการณ์ถังแดง ความทรงจำถังแดงถูกบอกเล่าอย่างเป็นระบบ ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องโดยที่อนุสรณ์สถานถังแดงซึ่งมีสัญลักษณ์ที่บอกเล่าเรื่องราวพฤติกรรมความรุนแรงโดยรัฐยังคงตั้งอยู่ได้โดยไม่ถูกเล่นงานจากฝ่ายรัฐ อนุสรณ์สถานถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ซึ่งเคยเป็นค่ายทหารเก่า และเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเผาลงถัง โดยมีถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรสีแดงเป็นสัญลักษณ์ การนำอุปกรณ์สังหารไปวางเด่นตระหง่านมีนัยยะมากกว่าการบอกว่า เหตุการณ์รุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นอีก หากแต่ยังเปรียบเหมือนการประณามความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐในอดีตอย่างโจ่งแจ้ง

อย่างไรก็ตาม อนุสรณ์สถานไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ หากไม่มีกิจกรรมหรือพิธีกรรมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและความทรงจำให้ได้ออกมาเคลื่อนไหว งานรำลึกถังแดงเป็นงานประจำปีซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก ๆ (ในที่นี้หมายถึงประมาณช่วงปี 2545 – 2552 หลังจากนั้นงานรำลึกถังแดงก็ไม่ได้จัดเป็นประจำทุกปี เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองสีเสื้อที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชน รวมทั้งคนที่เคยจัดงานร่วมกัน ทั้งนี้ งานถังแดงเพิ่งถูกรื้อฟื้นและกลับมาจัดอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 โดยมีความพยายามที่จะรักษาแนวคิดเดิมคือ การเคารพผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ถังแดงมากกว่าการถกเถียงทางการเมืองหรือเชิดชูอดีตสหายที่เคยเข้าป่า) งานรำลึกฯ เป็นงานพิธีหนึ่งที่พยายามเตือนความจำของผู้คนในชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งยังพยายามทำให้คนภายนอกได้รับรู้อดีตที่แทบไม่มีพื้นที่รับรู้ในสังคมมากนัก งานรำลึกถังแดงถูกผูกโยงเข้ากับอนุสาวรีย์ถังแดงทั้งในแง่ประเด็น/เนื้อหาสาร และพื้นที่ของงานพิธี พื้นที่พิธีกรรมเป็นพื้นที่เปิดกว้างต่อการมาร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับสารในงานรำลึกถังแดง เลือกที่จะไม่มาร่วมงาน เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของงานรำลึก ยังหมายถึงการไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าในพิธีกรรมอีกด้วย

ทั้งงานรำลึกถังแดงและอนุสรณ์สถานก็คงจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มี เครือข่ายสินธุ์แพรทอง จากการศึกษาพบว่าการทำงานของเครือข่ายฯ ครอบคลุมทั้ง 9 หมู่บ้าน ผ่านกลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพและโครงการต่าง ๆ จนได้รับการยอมรับในระดับที่เป็นตัวอย่างให้กับชุมชนอื่นได้ใช้เป็นต้นแบบสำหรับพัฒนาชุมชน ความสำเร็จนี้มีปัจจัยสำคัญคือ วิธีคิด โครงสร้าง ยุทธศาสตร์การทำงานได้รับอิทธิพลแบบพรรคคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ วัฒนธรรมการจัดตั้งแบบ พคท. การวางแผนยุทธศาสตร์ วิธีคิดและการวิพากษ์ระบบทุนนิยมที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชน และการผูกโยงชีวิตปัจจุบันที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ถังแดง โดยทำให้เห็นว่าวิกฤติของชุมชนในยุคนั้น บ่งบอกว่าชุมชนไม่ควรจะไว้วางใจหน่วยงาน/บุคคลภายนอกมากนัก โดยเฉพาะรัฐ หนทางที่ดีที่สุดที่เครือข่ายเสนอคือ การพึ่งตนเองและตรวจสอบการทำงานของรัฐ ซึ่งถูกนำมาปรับประยุกต์ใช้กับการทำงาน แต่เครือข่ายฯ ก็ไม่ได้นำแนวคิดแบบ พคท. มาใช้หรือบอกเล่าอุดมการณ์ประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างตายตัว เพราะเครือข่ายประกอบด้วยกลุ่มย่อย ๆ หลายกลุ่ม อีกทั้งประกอบด้วยคนที่แตกต่างหลากหลาย การพูดถึงเรื่องความทรงจำในอดีตของชุมชนเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำได้ หากแต่ต้องนำมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัฒนธรรมและบริบทสังคมยุคใหม่ของชุมชน รวมทั้งเลือกบทเรียนที่จำเป็นในการทำงานเท่านั้น กรณีนี้คือกระบวนการทำงานทุกแผนยุทธศาสตร์และโครงการเริ่มต้นจากการศึกษาอดีตของชุมชนซึ่งถูกบอกเล่าผ่านประสบการณ์จากคนของเครือข่ายฯ อดีตอันเจ็บปวดจากการกระทำของรัฐ จากนั้นแกนนำหลักของเครือข่ายฯ นำเอาวัฒนธรรมและแนวคิดแบบ พคท. มาใช้ในรูปของการทำงานทางความคิดและบริหารจัดการโครงการของชุมชนอย่างเป็นระบบ

อนุสรณ์สถาน งานรำลึก และการทำงานของเครือข่ายฯ ทำให้ความทรงจำ “ร่วม” ถังแดง ถูกบอกเล่า ดำรงอยู่และเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ความพยายามสร้างความทรงจำเรื่องถังแดงให้กลายเป็นความทรงจำ “หลัก” เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายข้างหน้า เงาของมันคือการใช้ประวัติศาสตร์และการสร้างความทรงจำที่เป็นอันหนึ่งอันเดียว สร้างตัวตนหน้าตาของชุมชนเพื่อเดินไปพร้อมกัน เป็นการหยั่งเท้าในอดีตเพื่อเดินไปหาอนาคตที่ต้องการเข้าถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจรัฐและการพึ่งตนเองของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความทรงจำที่มองว่ารัฐเป็นผู้กระทำความรุนแรงก็ไม่ได้เป็นความทรงจำ “ร่วม” ได้อย่างแท้จริง นั่นเพราะยังมีความทรงจำ “ปัจเจก” อันหลากหลายและบางความทรงจำก็ขัดกับความทรงจำ “ร่วม” ของชุมชน

ความทรงจำบาดแผลของปัจเจกในชุมชนลำสินธุ์ มีทั้งความทรงจำของคนที่มองว่าตนเองเป็นเหยื่อจากทุกฝ่าย เห็นว่าทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและพคท.เป็นผู้ก่อความรุนแรงที่ส่งผลต่อผู้เล่าและคนใกล้ชิด มุมมองเช่นนี้สะท้อนออกมาจากเรื่องเล่าของผู้เล่าที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำและการจับคนใกล้ชิดลงถังแดง พวกเขาเห็นว่าประชาชนทั่วไปต้องมารับกรรมจากคนทั้งสองฝ่าย พวกเขาพยายามพยายามวางตนเองให้อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายใดจะมีอิทธิพลมากกว่ากัน ประเด็นสำคัญของคนกลุ่มนี้คือ การไม่ต้องการข้องแวะ รับรู้เรื่องราว และไม่สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวพันกับอดีตอีก

ความทรงจำบาดแผลที่ตกเป็นเหยื่อของประวัติศาสตร์เป็นความเจ็บปวดที่แปลกแยกจากความทรงจำหลักของชุมชน มุ่งความสนใจไปที่บาดแผลที่พวกเขาได้รับจากความไม่ยุติธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้เล่ามองว่าชีวิตความเป็นอยู่ของตนเป็นผลมาจากความผิดพลาดของฝ่ายคอมฯ ในอดีต ฐานะความเป็นเหยื่อของผู้เล่ายังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ความล้มเหลวของชีวิตและความลำบากขัดสนในปัจจุบันเป็นผลพวงมาจากประวัติศาสตร์ ความทรงจำเช่นนี้จึงอยู่ที่ด้านกลับของขั้วตรงข้ามของความทรงจำ “หลัก” นั่นคือ มีอดีตที่เป็นฝ่ายรัฐ ความทรงจำบาดแผลนี้ไม่เพียงจะเป็นคนกลุ่มน้อยในปริมณฑลของความทรงจำแบบเครือข่ายฯ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกของตนได้ในเวลาและสถานที่ปกติ (ในชุมชน) หรือถูกพูดถึงในวงจำกัดเท่านั้น

วิธีที่ความทรงจำบาดแผลนี้สัมพันธ์กับความทรงจำ “หลัก” คือ การปฏิเสธร่วมงานรำลึกหรือเข้าไปในพื้นที่ของอนุสรณ์สถาน เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์และงานรำลึกที่พวกเขารู้สึกว่า เป็นการตอกย้ำบาดแผลและความรู้สึกที่ไม่ดีในอดีต ทั้งยังดูเหมือนเป็นการตอกย้ำการกระทำที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งพวกเขาและคนใกล้ชิดของพวกเขาเคยมีส่วนร่วม ‘ความทรงจำบาดแผล’

กระนั้นก็ตาม ความทรงจำชุดต่าง ๆ นี้ยังคงอยู่ในชุมชนที่มีสายสัมพันธ์เครือญาติ ด้วยประสบการณ์ในอดีตที่แตกต่างกัน ความเกี่ยวดองเป็น “เกลอ” กัน ทำให้บางครั้งอดีตที่ขัดแย้งไม่ถูกพูดถึง เป็นการประนีประนอมโดยเอาความจำเป็นในปัจจุบันเป็นตัวตั้ง ขณะเดียวกัน ปัจเจกที่มีความทรงจำบาดแผล ยังมีสายสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในชุมชนที่ช่วยทำให้ชีวิตของพวกเขามีความหมายมากกว่าการมุ่งไปที่อดีตเพียงอย่างเดียว การอยู่ร่วมกันในชุมชนที่มีความทรงจำบาดแผลที่แตกต่างกัน จึงไม่ได้อยู่ที่เพียงการมุ่งหาคำตอบให้กับอดีตเท่านั้น แต่ยังมีส่วนประกอบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ของความเป็นเครือญาติ ความเป็นเพื่อนเป็นเกลอ ผลประโยชน์ และการให้ความช่วยเหลือต่อกันที่เป็นข่ายใยซึ่งช่วยพยุงให้ความทรงจำที่ขัดกันยังอยู่ด้วยกันได้

จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม
เพื่อประกอบการนำเสนอในงานสัมมนา “การสร้างและช่วงชิงความทรงจำในขบวนการต่อสู้ของประชาชน”
งานประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 67 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
3 กรกฎาคม 2567