ในระยะหลังผมสังเกตเห็นว่ามีหนังเกาหลีเข้ามาฉายค่อนข้างมาก ทั้งรูปแบบของหนังโรงและละครชุดทางโทรทัศน์ ผมเองก็ได้มีโอกาสดูหนังเกาหลีที่เข้าโรงอยู่หลายเรื่อง จริงอยู่ที่หนังเหล่านั้นค่อนข้างมีความหลากหลายของแนวทาง คือมีทั้งหนังรัก หนังตลก หนังแอ็คชั่น หรือกระทั่ง หนังอีโรติค แต่ที่ค่อนข้างได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้ชม ก็เห็นจะเป็นหนังรักโรแมนติดอย่าง il Mare และ Wanee and Junah หรือหนังตลกโรแมนติคอย่าง My Sassy Girl หนังเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ก็เรียกได้เต็มปากว่าเป็นหนังตลาดสูตรสำเร็จ เพียงแต่ว่าเขาสามารถปรุงรสชาติได้กลมกล่อมจนใครได้ชิมก็ติดใจ
ถ้ามาลองวิเคราะห์หนังทั้งสามเรื่องที่ผมเอ่ยถึง ก็พอจะทำให้เราแยกแยะ “เครื่องปรุง” ที่เขาใช้ได้ไม่ยาก ส่วนประกอบหลักๆ ก็คือ ภาพสวยงาม ดนตรีประกอบไพเราะ และบทพูดที่ฟังแล้วกินใจ ซึ่งเป็นท่าบังคับที่ต้องมีเพื่อสร้างความรู้สึกสะเทือนใจกับคนดู ตัวผมเองก็เคยโดน “เล่นงาน” จนเสียอาการอยู่หลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามันเป็นเรื่องของการตกแต่งให้ “ดูดี” เกินกว่าความเป็นจริง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “ความเรียบง่าย” จะต้องมีความหมายเท่ากับ “ความจืดชืดน่าเบื่อหน่าย” เสมอไป ฉบับนี้ผมจึงอยากแนะนำหนังเกาหลีซักเรื่องที่ทำออกมาได้ “ง่าย” แต่ “งาม”
“Christmas in August” เป็นผลงานตั้งแต่ปี 1998 ของ “เฮอร์ จินโฮ” ผู้กำกับระดับแนวหน้าของวงการหนังเกาหลี หนังบอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มใหญ่วัย 30 กว่า ๆ นาม ยู จุง วอน เขาเป็นเจ้าของกิจการร้านถ่ายรูปเล็กๆ แห่งหนึ่ง จุงวอน ยังเป็นโสดและป่วยเป็นโรคร้ายแรงขนาดที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ แม้ชีวิตของจุงวอนจะไม่ “เต็ม” เหมือนคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน แต่เขาก็มิได้รู้สึกว่าตัวเอง “ขาด” เพราะได้ความอบอุ่นจากพ่อและน้องสาวมาทดแทน
อาจเป็นเพราะโรคร้ายที่เป็นอยู่ ทำให้จุงวอนตระหนักอยู่เสมอว่าทุกชีวิตมีวันสิ้นสุด เขาจึงเป็นคน “ปลงตก” กับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต และเฝ้ามองมันด้วยสายตาที่เบิกบาน มีความสุขกับการที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ทั้งยังเป็นโอกาสให้เขาได้ร่วม “แบ่งปัน” ความสุขจากบรรดาลูกค้าที่มาให้เขาช่วยเก็บบันทึก “ห้วงความสุข” ของพวกเขาลงรูปถ่าย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า จุงวอน จะด้านชากับความรัก เขาเคยมี “หญิงสาวที่หมายปอง” เธอเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยประถม แม้จะล่วงเลยมานานปี แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่ขาดพร่องไป
เขาเอารูปถ่ายสมัยเด็กของเธอติดไว้ในตู้กระจกหน้าร้าน จนกระทั่งวันที่เธอเดินเข้ามาพูดคุยทักทายที่ร้าน ก่อนที่จะขอร้องให้เขาปลดรูปของเธอออกมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกกระหน่ำซ้ำด้วยข่าวร้ายว่า โรคร้ายที่เป็นอยู่ลุกลามจนยาที่กินต้านไว้ไม่ไหวแล้ว เขากำลังจะตายในไม่ช้า!!!
คงเหมือนกับดอกไม้ไฟที่มักจะส่องสว่างมากที่สุดในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะดับ ในระหว่างที่เขากำลังทำใจยอมรับกับชะตากรรมของตัวเอง โชคชะตาก็เล่นตลกเข้าให้ เมื่อลูกค้าคนหนึ่งของ จุงวอน ที่เป็นตำรวจจราจร ชื่อ ดาริม เริ่มแวะเวียนมาหาที่ร้านบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่เอารูปมาล้างหรือเอากล้องมาซ่อม ก็กลายเป็นเดินผ่านมาก็แวะเข้ามานั่งพักหรือมาคุยด้วย จากที่เคยมาทั้งชุดทำงาน ก็เริ่มที่จะต้องมีการแต่งตัวให้ “ดูดี” กระทั่งต้อง “แต่งหน้าทาปาก” เมื่อโดนจุงวอนแซวว่าปากของเธอซีดเกินไป
การแวะเวียนเข้ามานั่งเล่นในร้านและพูดคุยด้วยของ ดาริม เป็นเหมือนการรุกล้ำเข้ามาในชีวิตของ จุงวอน เธอทำให้ร้านถ่ายรูปที่เคยมีแต่เชียงกดชัตเตอร์ เริ่มมีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะไม่เอ่ยปากแต่ ดาริม ก็แสดงออกเป็นนัยหลายครั้งว่ามีใจกับ จุงวอน ไม่น้อย ส่วนตัว จุงวอน เองก็มีไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ก็เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ เพราะตระหนักใน “ข้อจำกัด” ของตัวเอง ที่ทำให้ไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์นั้นให้ยึดยาวออกไปได้
ฝ่าย ดาริน เองก็ได้แต่รอคอยว่า เมื่อไหร่ จุงวอน จะ “โต้ตอบ” ความรู้สึกที่เธอหยิบยื่นให้ จนหลังจากไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก เธอมาหา จุงวอน ที่ร้านหลายครั้ง แต่ก็พบว่าร้านปิด เธอไม่รู้เลยว่าตอนนั้น อาการป่วยของ จุงวอน กำเริบหนักจนเขาต้องเข้าโรงพยาบาล สุดท้ายเธอก็จากไปเพราะเข้าใจว่าเขาไม่มีใจตอบรับ
เมื่อ จุงวอน ออกจากโรงพยาบาล เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกในใจของ ดาริม จากจดหมายที่เธอสอดไว้ที่ประตูร้าน แต่เขาไม่ได้ติดต่อกลับไปหา ดาริม วันหนึ่งเขาไปดักรอเธอที่ถนนซึ่งเธอต้องไปเดินตรวจแต่ไม่ได้เข้าไปทักทาย เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เขาจึงวางใจได้ว่าเธอคง “ลืม” เขาได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน จุงวอน ก็ตาย
เนื้อหาเรื่องราวเช่นนี้ เอื้ออำนวยอย่างยิ่งที่จะสอดแทรกฉากเร้าอารมณ์เรียกน้ำตาจากคนดู แต่ผู้กำกับก็หลีกเลี่ยงที่จะทำเช่นนั้น เขาปล่อยให้เรื่องราวเดินไปช้า ๆ ค่อย ๆ บอกเล่าความเป็นไปของชีวิตในช่วงสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่ง ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไรอีกแล้ว ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าและเก็บเกื่ยวรายละเอียดของชีวิตไว้ใน “ความทรงจำ” ให้มากที่สุด นั่นทำให้คนดูอย่างเรา เกิดความรู้สึกเหมือนกับกำลังติดตามดูชีวิตความเป็นไปของ “เพื่อนบ้าน” คนหนึ่งอยู่
กระนั้นตลอดเรื่องมีช็อตเล็ก ๆ สั้น ๆ แต่สื่อความหมายมากแทรกอยู่ทั้งเรื่อง เช่นฉากที่ พ่อของเขาไหว้วานให้ จุงวอน เปิดวีดิโอให้ จุงวอน พยายามสอนให้พ่อของเขาใช้เครื่องเล่นวีดีโอ แต่พ่อของเขาก็ทำไม่ได้ซักที จน จุงวอน เริ่มโมโหแล้วลุกเดินออกไป สุดท้ายเขาก็นั่งเขียนคำอธิบายวิธีใช้อย่างละเอียดใส่กระดาษไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว พ่อของเขาจะได้ทำเองได้
แน่นอนว่า ช่วงที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุดในเรื่องก็คือตอนที่ จุงวอน อยู่กับ ดาริม ซึ่งต้องให้เครดิตกับการแสดงที่เข้าขากันอย่างมากของนักแสดงในเรื่องคือ ฮัน ซุก คิว (บ้านเราเคยได้เห็นบทบาทของเขามาแล้วจากเรื่องแอ็คชั่นอย่าง Shiri) และ ชิม อุน ฮา (จากความโด่งดังของหนังเรื่องนี้ ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาแสดงร่วมกันอีกในหนังระทึกขวัญเรื่อง Tell me Something ที่เข้าโรงบ้านเราไปแล้ว)
ตลอดทั้งเรื่องไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งสองที่จะบ่งบอกว่าทั้งสองมีใจให้กัน แต่สายตาที่มองกันและกันและกริยาอาการต่าง ๆ ที่เป็นไปก็ไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้ อย่างเช่นฉากที่ทั้งสองมานั่งพักที่เก้าอี้ในสวนสนุก ดาริม ซื้อไอศกรีมกับน้ำอัดลมมา จุงวอน นั่งมองเธอใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากกระป๋องก่อนที่จะเปิดกระป๋องด้วยความงุนงง ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของมันเมื่อเธอยื่นน้ำอัดลมนั้นมาให้เขาดื่ม หรือฉากที่ จุงวอน เล่าเรื่องผีให้เธอฟังตอนที่เดินกลับบ้านด้วยกัน พอถึงตอนที่น่ากลัว ดาริม ก็ยื่นมือทั้งสองไปคล้องแขนของเขาไว้
ตัวละครอย่าง ดาริม เป็นเหมือนตัวแทนของผู้หญิงสมัยใหม่ที่คล่องแคล่วไม่ต้องพึงพาใคร การทำงานเป็นตำรวจจราจรก็เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนบุคลิคด้านนี้ของเธอ แต่ยังไงก็ตามเธอก็ยังต้องการการเอาใจใส่จากคนอื่น อย่างเช่นในวันที่เธอเหนื่อยล้าจากความวุ่นวายการหน้าที่การงานและอากาศที่ร้อนอบอ้าว เธอเพียงต้องการเอากล้องถ่ายรูปมาซ่อม และนั่งพักที่ร้านของ จุงวอน เขายังมีใจเดินมาเปิดพัดลมให้เพื่อปัดเป่าความ (ทุกข์) ร้อนนั้นไป ตั้งแต่วันนั้น ดาริม ก็ได้รู้ว่า ร้านของ จุงวอน ไม่ใช่เพียงที่สำหรับ “ซ่อมแซม” กล้องถ่ายรูปเท่านั้น ยังอาจเป็นที่ “พักพิง” ให้กับหัวใจของเธอด้วย
หนังเรื่องนี้บอกกับเราว่าปลายทางของความรักนั้นอาจมีมากกว่า “สมหวัง” หรือ “ผิดหวัง” ซึ่งยึดโยงอยู่กับแง่มุมของการ “ครอบครอง” สำหรับ จุงวอน เขาต้องการเพียงแค่ได้เห็น “คนที่เขารัก” มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข แม้แต่ในวันที่เขาไม่มีโอกาสได้เป็นคนดูแลเธอ
โดยทั่วไปเมื่อดูหนังประเภทนี้จบ ผมมักจะเกิดอาการหายใจติดขัด หัวใจเต้นแรง และรีบลุกไปล้างหน้าล้างตา เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าตัวเองโดน “น็อค” อีกแล้ว แต่กับเรื่องนี้ผมนั่งนิ่งด้วยความสงบอยู่หน้าจอทีวีต่อไป จนกระทั่งเครดิตท้ายเรื่องจบ รู้สึกเหมือนกับกำลังไว้อาลัยกับการจากไปของ “เพื่อนคนหนึ่ง”
ม้าก้านกล้วย
I watched this movie a few years ago. I really like it. You are right. The story of this movie is really simple, yet extremely moving.
Just like “Love”, the word love is fairly simple, consisted of only 4 letters, yet it is such a powerful word. The word “Love” can be either overly used by someone who doesn’t really care much about the world, or rarely used by someone who usually overanalyzes the world.
Have you ever had a thought of someone that can make you smile?
Have you ever had a warmth feeling knowing that someone cares and has faith in you?
Have you ever cared for someone, no matter where that person is, or whoever he/she is with?
To me, “Love” is an indescribable feeling. It is simple, yet a powerful feeling.
เขียนได้ดีค่ะ รู้สึกได้เลยว่า เศร้า
อยากดู ยังไม่ได้ดูเลยย เช่าก็ไม่มี เซ็ง อ่ะ โหลดได้ป่าว ช่วยบอก link หน่อยดิ หาดูแล้วไม่มี เลยย เซ็ง เซ้ง ๆ อยากดูอ่ะครับ
ดีมากเลย
..รายละเอียดที่ผมได้รับจากหนังและละครเกาหลีมีซักสองอย่างที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง
..ตัวแสดงที่ถูกว่ากล่าวในเรื่องถีงแม้..จะเป็นฝ่ายถูกแต่กลับไม่พูดหรือถกเถียง เว้นเวลาให้คนดูใช้อารมณ์แทนตัวละคร ผลสุดท้ายคนดูก็เป็นฝ่ายเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของตัวละครอย่างแยบยล
…มุมกล้อง ถ้าสังเกตุจะเห็นได้ว่าการถ่ายอย่างแรกเน้นผู้แสดงโดยฉากด้านหลังแบบวิถีชีวิตเดิมทั่วไป
หากต้องการเน้นบางฉาก มุมกล้องก็ขายภาพออกมาได้อลังการ เหมือนเราได้ไปอยู่ภูเขาสูง ป่ากว้าง หรือ ท่ามกลางหิมะ
มุมมองผมอาจผิดไปจากผู้รู้หลายท่านต้องขออภัยด้วยนะครับ เพราะเฝ้าดูแต่ทางจอแก้ว แดจังกึม หมอโฮจุน จูหมง…..ครับ