ในโลกยุคปัจจุบันนี้ ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีช่องทางที่จะติดต่อสื่อสารได้รวดเร็วขึ้น เช่น Internet ถ้าคุณต้องการจะทราบเหตุการณ์ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอีกซีกโลกหนึ่ง คุณก็แค่เพียง Click เข้าไปดู Homepage ของ CNN หรือ BBC หรือถ้าคุณต้องการส่งข่าวถึงเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ คุณก็เพียงแค่พิมพ์ข้อความที่ต้องการแล้วส่งเป็น E-mail ไป พอเขาคนนั้น Sign in เขาก็จะได้รับ E-mail จากคุณ
ตัวผมเองไม่ปฏิเสธประโยชน์ของเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ถ้าพูดกันตรง ๆ แล้ว ผมรู้สึกว่าความสะดวกรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น มันได้บั่นทอนความละเมียดละไมหลาย ๆ อย่างของชีวิตไปพร้อม ๆ กัน เช่นว่า ระหว่างการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เช็คข่าวในแต่ละวัน กับการเดินไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์แกล้มด้วยกาแฟร้อนกับไข่ลวกที่ร้านอาโกหน้าตลาด ผมชอบที่จะเลือกอย่างหลังมากกว่าเพราะว่า อย่างน้อยผมก็อยากจะเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยความคึกครื้นมากกว่าความเงียบสงัด หรือถ้าผมจะต้องติดต่อกับเพื่อนที่อยู่ห่างไกล ถ้าเลือกได้ ผมชอบที่จะใช้ Postcard หรือ จดหมาย มากกว่า E-mail ผมรู้สึกว่าแม้จะเป็นข้อความเดียวกัน ถ้าพิมพ์ด้วย Keyboard ข้อความที่ได้มันดูแข็งๆ ไร้ความรู้สึกยังไงไม่รู้ ที่สำคัญที่สุด คือผมรู้สึกว่าการเปิด E-mail อ่าน มันก็ไม่ต่างจากที่เราเปิด File Computer ซักไฟล์หนึ่ง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับ การที่เรากลับมาบ้านตอนเย็น เปิดตู้จดหมายแล้วพบว่า มีกระดาษแผ่นหนึ่งเดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยหลายพันกิโลเมตรข้ามน้ำข้ามทะเลมา โดยมีความคิดคำนึงถึงเป็นแรงขับเคลื่อนและมีตัวเราเป็นจุดหมายปลายทาง
ดังนั้น…ผมจึงอยากเขียนถึงหนังที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนสองคน ที่ก่อตัวขึ้นมาจากการสื่อสารกันผ่านจดหมายซักเรื่อง หนังเรื่องนี้ชื่อ “il Mare” เป็นหนังเกาหลี หรือ ในชื่อไทยว่า “ลิขิตรักข้ามเวลา” ซึ่งเข้าฉายในบ้านเราในช่วงต้อนรับฤดูหนาวที่ผ่านมา ชื่อหนังเป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ทะเล” ซึ่งเป็นชื่อของบ้านพักริมทะเลที่พระเอกของเรื่องคือ ซ่งหยวน (นำแสดงโดย ลี จุนแจ) ย้ายเข้ามาอยู่ใน วันที่ 21 ธันวาคม 1997 ในวันเดียวกันนั้นนางเอกของคือ อินจู (นำแสดงโดย โจน จิฮุน) ก็กำลังย้ายออกจากบ้านหลังนี้ เปล่าครับ! ทั้งสองไม่ได้พบกันอย่างที่หลายคนคิด เพราะว่าวันที่อินจูย้ายออกไปนั้นคือ วันที่ 21 ธันวาคม แต่เป็นในปี 1999 !!!
แม้จะมีชีวิตอยู่ในห่วงเวลาที่แตกต่างกัน แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ทั้งสองได้รู้จักกันจนได้ นั่นคือ อินจู กำลังรอจมหมายจากเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เธอจึงเขียนการ์ดอวยพรคริสต์มาสให้กับคนที่จะมาเช่าบ้านหลังนั้นต่อจากเธอ พร้อมทั้งใส่ที่อยู่ใหม่ของเธอเอาไว้ด้วย เผื่อว่าถ้ามีจดหมายมาถึงเธอ จะได้ส่งต่อไปให้เธอได้ เธอใส่การ์ดใบนั้นไว้ที่ตู้จดหมายหน้าบ้าน แต่แล้วเมื่อ ซ่งหยวน เปิดตู้จดหมายดูในวันที่ย้ายเข้ามาวันแรก เขากลับพบการ์ดใบนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าคงมีใครเล่นตลกกับผู้ย้ายมาใหม่อย่างเขา เพราะเห็นว่าในการ์ดลงวันที่เป็นปี 1999 ทั้ง ๆ ที่ (ขณะนั้น) เป็นปี 1997 อีกอย่างเขาเป็นผู้พักอาศัยรายแรกของ il Mare ซึ่งเจ้าของบ้านคือป้าของเขาเอง เขาจึงเขียนจดหมายต่อว่ากลับไป
ส่วน อินจู นั้นแม้ว่าจะย้ายออกไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนั้นอยู่ เธอจึงแวะมาที่ il Mare เพื่อเยี่ยมเยือนและเช็คดูว่ามีจดหมายที่เธอรอคอยอยู่ ตกค้างอยู่ที่ตู้จดหมายหรือไม่ เธอจึงได้รับจดหมายที่ ซ่งหยวน เขียนถึงเธอ เธอเองก็แปลกใจเช่นกันที่ ซ่งหยวน ยืนยันว่าเขาอยู่ในปี 1997 ไม่ใช่ปี 1999 อย่างที่เธอว่า สุดท้ายเราก็ได้รู้ว่าประตูเชื่อมโยงระหว่างมิติเวลาทั้งสองกคือตู้จดหมายหน้าบ้านนั่นเอง ความขัดแย้งในเรื่องช่วงเวลาที่เป็นปัจจุบันของทั้งสองคนคลี่คลายลง เมื่ออินจูบอกกับ ซ่งหยวน ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องว่าในปี 1997 นั้น หิมะเริ่มตกวันที่เท่าไหร่
จากนั้นหนังก็พาคนดูไปรู้จักกับชีวิตของคนทั้งสองผ่านเนื้อความในจดหมายที่ทั้งสองเขียนถึงกันและกัน เราได้ทราบว่า อินจู มีอาชีพเป็นนักพากย์การ์ตูนทางโทรทัศน์ เธอกำลังรอคอยจดหมายจากแฟนหนุ่มที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเมื่อ 2 ปีก่อน เขาไม่ได้ติดต่อมาหาเธอนานแล้ว จดหมายที่ส่งไปหาก็ถูกตีกลับเพราะไม่มีผู้รับ ส่วน ซ่งหยวน เป็นนิสิตปีสุดท้ายของคณะสถาปัตยกรรม แต่เขามีปัญหาขัดแย้งกับทางบ้าน จึงตัดสินใจดร็อบเรียนแล้วมาทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง ด้วยเหตุที่ทั้งสองต่างก็มี “บาดแผล” ของตัวเอง จดหมายที่ส่งถึงกันนั้น แรก ๆ เป็นเพียงแค่การพูดคุยแก้เหงา นานเข้าก็กลายเป็นการปรับทุกข์ให้ฟัง หรือไม่ก็ ให้กำลังใจอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่
เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกที่ทั้งสองมีให้กันเริ่มที่จะลึกซึ้งมากกว่าแค่เพื่อนคุยธรรมดา ทั้งสองต่างรอคอยที่จะได้รับจดหมายฉบับต่อไปจากอีกฝ่าย หรือเมื่อรู้สึกว่าการติดต่อระหว่างกันขาดช่วงไป ก็อดเป็นห่วงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายรึเปล่า ในบางคืนที่ ซ่งหยวน ทนคิดถึงเธอไม่ไหว เขาจะไปรอพบ อินจู ที่สถานีรถไฟ ตรงม้านั่งที่เธอมักจะนั่งเป็นประจำ ความคิดถึงทำให้ ซ่งหยวน กระวนกระวายใจ แต่เมื่อได้พบอินจูอย่างที่ตั้งใจ มันกลับเลวร้ายยื่งกว่าเดิม สิ่งที่เขาเห็นคือภาพ อินจู เดินมากับแฟนของเธอ คนทั้งสองเดินผ่านหน้า ซ่งหยวน ไป โดยที่ ซ่งหยวน ไม่กล้าปริปากพูดอะไร เพราะในปี 1998 นั้น เขาเป็นแค่เพียง “คนแปลกหน้า” สำหรับเธอเท่านั้น
หลังจากนั้น อินจู ก็ได้พบกับแฟนเก่าของเธอ หากแต่เขาไม่ได้กลับมาหาเธอ เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ แฟนเก่าของเธออ้างว่าเป็นเพราะเมื่อสองปีก่อน เธอไม่ยอมไปเรียนต่อกับเขา และเขาก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะทนเหงาอยู่คนเดียวได้ อินจู เสียใจมาก เธอจึงรู้ว่าจริงๆแล้วเธอยังลืมเขาไม่ได้ เธอเขียนจดหมายบรรยายความเสียใจที่มีไปถึง ซ่งหยวน แม้ว่าตัว ซ่งหยวน เองจะผิดหวังและเสียใจแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือ เขาจะทำอะไรได้บ้าง ที่จะช่วยให้เธอไม่ต้องเศร้าโศกอย่างที่เป็นอยู่ เขาจึงตัดสินใจไปหา อินจู และแฟนของเธอที่ร้านอาหารที่ทั้งสองนัดพบกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อจะบอกให้อินจูเปลื่ยนใจและตามแฟนของเธอไปเมืองนอก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอดีด (ของอินจู) จะทำให้ไม่มี อินจู (ที่เขารู้จัก) ในปี 1999 นั่นย่อมหมายความว่าเรื่องราวระหว่างเขาและเธอจะเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ผมคงจะไม่บอกว่าเรื่องราวระหว่างคนทั้งสองลงเอยยังไง เพราะหนังแบบนี้ถ้ารู้ตอนจบก่อน มันจะกร่อยในทันที สำหรับผมแล้วนี่เป็นหนังปิดท้ายปีที่ทำให้ผมออกจากโรงแล้วเดินอมยิ้มไปได้หลายชั่วโมงทีเดียว มันพลอยทำให้ผมรู้สึกดีกับปีที่ผ่านมามากขึ้นเยอะเลย (จริงๆแล้ว ผมแค่อยากให้พวกคุณมีโอกาสได้อมยิ้มแบบผมบ้างเท่านั้นเอง)
ลี ฮุนเชียง (ผู้กำกับ) ใช้องค์ประกอบทุกส่วนในหนังทำให้หนังเรื่องนี้ดูเหมือนเรื่องราวชวนฝัน ดนตรีประกอบและเพลงประกอบไพเราะมาก ตัวบ้าน “il Mare” สวยมากๆ ดูแล้วอยากจะมีบ้านริมทะเลแบบนี้ซักหลัง แน่นอนครับ ต้องมีตู้จดหมายด้วย (ฮา) (เสียดายครับที่ผมหาภาพของบ้านหลังนั้นมาให้ดูไม่ได้) อีกทั้งบทหนังก็มีหลายตอนที่ “เอาเรื่อง” ทีเดียว มีตอนหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ตอนที่ทั้งสองแนะนำวิธีแก้เซ็งให้กับอีกฝ่าย ซ่งหยวน ชวนให้ อินจู ไปเดินเทื่ยวที่เชิงเขาแห่งหนึ่งที่เขามักจะไปเป็นประจำเวลาไม่สบายใจ เมื่อเดินมาถึงปลายทางจะมีร้านกาแฟให้นั่งพัก เขาสั่งไวน์เอาไว้ให้เธอในปี 1998 เพื่อให้เธอได้ดื่มแก่กระหายเมื่อเดินมาถึงร้านในปี 2000!!!
นอกจากนี้หลายฉากในหนังยังได้สะท้อนภาพของคนเหงาในเมืองใหญ่ ให้เราได้เห็น ในขณะที่จุดมุ่งหมายของหลายคนคือการได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีหน้ามีตาในสังคม บางคนกลับต้องการเพียงแค่ ใครสักคนที่คอยเอา “ใจ” ใส่ห่วงใยเขาและให้เขาได้มองความรู้สึกเช่นเดียวกันนั้นให้ ใครสักคนที่แม้จะพูดคำพูดเดียวกันกับคนอื่นแต่กลับฟังลื่นหูกว่า ใครซักคนที่เมื่อเราพบเจอสิ่งดีๆ ในชีวิตแล้วอยากจะแบ่งบันสิ่งนั้นไปให้ หรือเมื่อเราได้พบกับความยากลำบาก เราก็กล้าที่จะแสดงความอ่อนแอและท้อแท้ออกมาให้เห็นโดยไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม
หากแต่ว่าเพียงแค่สิ่งนี้ หลาย ๆ คนก็ยังหาไม่เจอ ในปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่ช่วยให้เรามีวงจรชีวิตที่กว้างขึ้น “รู้จัก” คนเยอะขึ้น แต่ “ความลึกซึ้ง” ของความสัมพันธ์กลับตื้นเขินมากขึ้น สมัยนี้ใคร ๆ ต่างก็มีโทรศัพท์มือถือใช้ จะเอาที่มีฟังค์ชั่นการทำงานมากมายแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าไม่มีใครโทรเข้ามาหา มันจะมีประโยชน์อะไร
ม้าก้านกล้วย
ผมชอบมากเลยเเต่ไม่รู้จะซื้อเเผ่นที่ไหน
สนุกมากครับ เหมาะกับคนอารมณ์สุนทรี
ดูเรื่องนี้แล้วประทับใจมากฮะ อยากมีเพื่อนในโลกอดีตบ้างจัง
อยากแจ้งข่าวสำหรับคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ฮอลลีวูดกำลังจะ Re-make หนังเรื่องนี้โดยวางตัวพระนางเป็น Keanu Reeve กับ Sandra Bullock ครับ
Hello !!! I think this movie is too complicated for me to understand la. Hard to get a. Am I Dump?
เราก็ชอบเรื่องนี้มาก ดูตั้งหลายรอบแล้ว เวลาที่ไม่สบายใจก็จะเอาเรื่องนี้มาเปิดดู ดูแล้วก็จะรู้สึกดีเสมอ เนื้อเรื่องดี เพลงเพราะ ภาพสวย คุณม้าก้านกล้วยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดีมาก อยากให้เพื่อน ๆ ที่ผ่านเข้ามาอ่านบทความนี้แล้วยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ได้ไปลองหามาดูกัน เป็นหนังรักที่ปราณีตมากเรื่องหนึ่ง แล้วบางทีคุณอาจจะได้หนังรักในดวงใจเพิ่มขึ้นมาก็ได้