ริมฟากฝั่ง…
ข้ายืนอยู่ลำพัง
คลื่นสาดซัดประดัง
หลอกหลอนด้วยความหลังเพียงภาพพร่า

กอบทรายขึ้นในมือ
ขยำร่วนร่วงกราวก็พราวใส
นี่หรือฝุ่นละอองจากหินแก้วที่ใดใด
ลมน้ำโหมกระหน่ำให้แตกพลัดพรายยังไม่อาจซ่อนเค้าแวววาวเดิม

ทั่วร่างข้าแม้ระคายทรายหยาบพอได้มึนชา
เริ่มเหนื่อยล้าจนนอนทอดตาหรี่มองเบื้องฟ้าสูง
อากาศชุ่มชื้นชักพาให้เคลิ้มคล้อยง่วงงุน
แต่ในสติยังตรึกด้วยนึกพิศวงสงสัย

กลางทุ่งหญ้านานาพืชพันธุ์ชูใบระบัดพรรณหลังสร่างฝน
แสงจันทร์คราวคืนสว่างนวลแหวกเมฆหม่นสะท้อน
แสงคงระริกแหลมคล้ายมณีมีเหลี่ยมมุมในใจกลางหยาดน้ำกลมเกาะทั่วใบเปียกปอน
คล้ายโลกแน่นิ่งหากเพียงนอนพักในหลับไหลหาใช่ดับตาย

แลมองขึ้นไปเห็นนทีใหญ่เป็นสายธารดาว
คือทางช้างเผือกที่เขาเรียกขาน
แต่โลหิตกระเซ็นเข้าบังตาอยู่ช้านาน
ขาวสล้างจึงกลับเห็นขุ่นเป็นตมแดง

ขณะบนผืนพิภพเบื้องล่างอีกครั้ง
สายน้ำใหญ่ไหลหลั่งหล่อเลี้ยงดังสายเลือดสีชาดฉาน
จากบรรพตสัณฐานบัวตูมก้อนหทัยงาม
ไหลสู่มหาสมุทรหลาม…เพื่อรอระเหยหายเป็นไอคืนเมฆา

เพื่อทนทานการบดอัดขัดสีในเนื้อน้ำฉ่ำชุ่ม
ที่อากาศโอบอุ้มลมหมุนพัดหอบสูง
ก่อเกิดพลานุภาพคือสายฟ้าแปลบปลาบดูน่าหวาดผวาทารุณ
ฟันฟาดวินาศสูญเป็นเร้นลับอัศจรรย์แก่ชนทั้งหลายแต่บรรพกาเล

แม้ลึกเร้นลงไปใต้เปลือกเย็นชาแห่งภูผาหนักทึบ
ยังศิลาหลอมร้อนระอุไหลเวียนอึกทึกรอปะทุขึ้น
ในแก่นกลางหัวใจแห่งปฐพีที่เราเหยียบยืน
ยังเต้นตุบตึงสูบฉีดลาวาทั้งแผดเผาไฟจากเตาแผ่ซ่านไป

ครั้นยามทิวาวันอันวกวุ่น
แกนโลกพลิ้วหมุนยกนำสู่สารพัดแสง
ผองชนก็เริงร่าพากันสรรเสริญที่เติมแรง
บ้างก็ขยับขับหมุนนานากิจการไปตามตำแหน่งแห่งที่ตน

เมื่อรัตติทมิฬมาทวงคืนค่ำ
แกนโลกพลัดหมุนกดให้ดำดิ่งลงแดนอัปสูรย์
หมู่คนก็ซบหน้าคร่ำครวญหาอาดูร
บ้างก็หลับไหลเป็นเบื้อใบ้ไม่รู้แล้ว

หลากหมู่ดาวเหนือแลหลายหมู่ดาวใต้
กลับกระจุกตัวไม่เคยห่างไปจากปลายแผ่นดินไกลสุดฝั่งฝัน
หากในฝั่งตนต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมู่ขึ้นครองความเป็นเจ้าแห่งแต่ละยุคทุกเนิ่นนาน
ต่างยืนเป็นเสาเฝ้ามองวงจรโลกที่ผ่านจากขั้วตรงข้ามกัน

แลหมู่อื่นสถิรดาราฤกษ์ระยับ
กระพริบรับหยอกล้ออยู่เต็มฉากฟ้าราวใครแกล้งไปแขวน
เป็นรูปสัตว์ใหญ่น้อยเรียงร่ายร้อยพันเรื่องตำนานเหนือดินแดน
ที่ชนบุราณต่างแคว้นกำหนดเป็นเครื่องหมายสำคัญในทางตะวันจร

แลในรอบปีวิถีรวิมรรคยังเบี่ยงข้างโยกสลับเอียงเหนือใต้
ส่งให้กลางวันกลางคืนเปลี่ยนผันผลัดกันยาวสั้น
เมื่อกวัดแกว่งให้แรงสั่นจึ่งหมู่ดาวฤกษ์เกิดขยับเคลื่อนล้ำเหลื่อมพลัดจากเรือนเดิมทุกทุกวัน
เที่ยวไปเวียนผ่านเพื่อกลับมาในรอบมหาศักราชยาวนานนับหมื่นปี

ดาราจักรหมุนผันดั่งฟองนมละล่องในห้วงน้ำแสนกว้าง
ณ ใจกลางเป็นเบ้าหลอมเนื้อแก้วเหลวร้อนโชนแสงใส
ลมหมุนพัดรอบแตกออกเป็นอภิมหาหมู่ละอองทราย
หากกำเนิดยังคลับคล้ายกับอนุปรมาณูเล็กกว่าใยฝุ่นธุลี

จึงที่เขาว่าชายและหญิงแต่ละผู้ต่างก็เป็นเช่นดวงดาว
ต่างทางโคจรเขาและเธอสารพัดจะสับสน
ตัดผ่านแสงจากฟ้าตัดผ่านหน้าแผ่นดินยิ่งทบทวีความวกวน
โลกช่างเกลื่อนกล่นด้วยสิ่งหักเหกระจายสะท้อนปนแสงสีเดิม

สุริยจันทราแลเบญจดาราร่วมบรรเลง
ละเล่นเป็นหลายเข็มนาฬิกาจรซ้อนใต้ฟ้าใหญ่
ที่ว่าสวรรค์ลิขิตแกล้งบงการชีวิตชายหญิงให้กระจัดพลัดพราย
ฤาว่าผู้คนสิ้นไร้ทางไปกลับโทษฟ้า?

ยังอีกมากสุดนับคือปวงเทพวัตถุที่ซ่อนเร้น
มิอาจเห็นง่ายดายทั้งรูปกายแลพลังอำนาจจักโปรยปรายฤาแผดเผา
ผู้คนเถียงกันทุกแพร่งทางให้เอ็ดอึงในบางขณะคราว
แห่งประวัติศาสตร์ที่ยาวเพียงเท่าชั่วกะพริบแห่งจักรวาล

วิหคที่หลงทาง…
จักหาบ้านของมันพบได้หรือไฉน
เมื่อศรัทธาในหมู่ดารากลับเหมือนเลือนลับดับมลาย
แท้จริงอาจมิใช่หากทะยานขึ้นได้เหนือพืดหม่นพ้นเมฆดำ

ขึ้นสิ ขึ้นสิ!
ใครอื่นเล่าจักยกชูเกียรติเจ้าได้
แม้ปีกกล้าขาดหลุดร่างน้อยทรุดสลายไป
อุดมวิญญาณ์จักไม่แพ้พ่ายเลย

กับบรรดาสิ่งที่ต้องฟูมฟักในฟองไข่
จงพินิจถึงชีวิตที่อุบัติขึ้นภายในปิดบังไม่อาจส่องเห็น
ตราบถึงเมื่อคราวที่ต้องเกิดเปิดสู่ความเป็น
จึงพร้อมเจาะทำลายเปลือกไข่นั้นออกมาโลดเต้นทักทายโลก

ในเรือนชิงช้าที่นั่งแกว่งไกวหน้าหลัง
เคลื่อนระหว่างสองเสาประกบข้างทำด้วยไม้ซุงต้นสูง
เด็กหญิงหนึ่งเกาะชิงช้าแล่นเล่นไปไร้มืออื่นช่วยพยุง
เท้าห้อยปล่อยแหวกตัดทุ่งดอกใบผักหญ้าเรี่ยรายดิน

เหล่านี้คือความลี้ลับสำคัญ
ในชาตการแห่งดาราอนันต์อันข้าได้เห็น
จึ่งร่ายถ้อยคำพรรณาที่รู้และที่เป็น
ส่วนความแรงกล้าที่รู้สึกจักซ่อนเร้นในปริศนาดาว

กลับฟื้นคืนกำลังด้วยชื่อว่ามนุษยภาพ
ด้วยทระนงอาจยืนหยัดท้าชะตาฝืนลิขิตขีดขั้น
ข้า…ลุกขึ้นได้ และเราทั้งหลายควรเชื่อมั่นเช่นกัน
บางคราวอาจต้องเหหันสายตาจากอลังการแห่งฟ้าสรวง

กลับคืนสู่เท้าที่เคยย่ำซ้ำรอยคลื่น
กลางหาดชื้นเกลื่อนซากปลาดาวเปื่อยพังสลาย
หากภาพประทับที่เคยซึ้งยังคงตราตรึงใจ
นานไกลเท่าใดหาไม่รู้ลบเลือน

ริมฟากฝั่ง…
ข้ายืนอยู่ลำพัง
คลื่นสาดซัดประดัง
หล่อหลอมด้วยความหวังเกิดกล้าก้าว

QuaOs