ยังจำได้บ้างมั้ยพี่น้องชาวค่ายอาสา (ค่ายหนองค่าย) ทุกคน ที่เราเผชิญปัญหามากันขนาดไหน สำหรับค่ายหนองค่ายที่ผ่านมา กว่าพวกเราทุกคนนั้นจะผ่านพ้นสถานการณ์ที่ค่อนข้างมีผลกระทบต่อจิตใจของพวกเราทุคน แต่มันก็สามารถผ่านมาได้ด้วยดี ถึงแม้มันจะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แค่สองเพียงสัปดาห์เท่านั้น แต่ต่างคนต่างก็รู้สึกถึงความผูกพันที่มีต่อกัน ต่างจากที่วันแรก ๆ พวกเราไม่ได้รู้สึกอย่างนี้เลย และก็ได้เก็บมันเป็นภาพความประทับใจอันสวยงามและไม่อยากให้มันผ่านเวลานี้ไปเลย

แต่เมื่อมันก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องอำลาจากอาคารหลังน้อย ๆ ที่พวกเราทุกคนช่วยกันลงมือก่อสร้างมันคนละไม้คนละมือ จนมันเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้โครงสร้างที่สมบูรณ์เท่าที่ควร แต่มันก็สามารถทำให้โครงสร้างจิตใจของพวกเราสมบูรณ์ขึ้นมาได้ ด้วยการเปิดใจยอมรับกับสิ่งใหม่ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราทุกคน และก็ทำให้บางคนมีมุมมองใหม่ที่ดีต่อคนรอบตัวและต่อค่ายอาสา

ภาพนาทีที่พี่ ๆ น้อง ๆ ของค่ายทุกคน ชาวบ้านที่มาช่วยเหลือเรา และเด็ก ๆ ตัวน้อย ๆ ใส่ชุดนักเรียนมาร่วมกันล้อมวงจับมือเพื่อร้องเพลงค่าย พูดความรู้สึกที่มีต่อกันด้วยน้ำตาที่หลั่งออกมาตลอดเวลาที่เราได้อยู่ในอาคารหลังนั้น ทั้งสารภาพและให้อภัยในสิ่งที่แต่ละคนอาจได้ทำผิดพลาดไปถึงจะตั้งใจรือไม่ก็ตาม พวกเราต่างก็ไม่โกรธและให้อภัยกันอย่างจริงใจ ทิ้งทุกอย่างมันทำลายความรู้สึกของพวกเราไป และเก็บแค่ความรู้สึกที่ดีกับคำว่ามิตรภาพที่ดีที่จะมีต่อกัน แม้ว่าพวกเราจะต้องจากโรงเรียนแห่งนี้กลับมาในโลกของความจริง เพื่อสานหน้าที่ภาระกิจของแต่ละคน พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณชาวบ้านที่มาให้ความร่วมมือกับเราในทุก ๆ เรื่องเป็นอย่างดี ก่อนที่จะขนสัมภาระขึ้นรถสิบล้อที่ชาวบ้านบางส่วน ได้มาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟและยังรอส่งพวกเราขึ้นรถไฟ แม้ว่าจะต้องรอเวลารถไฟออกหลายชั่วโมงก็ตาม จนกระทั่งรถไฟค่อย ๆ เคลื่อนขบวนออกจากชานชลาไปที่ละน้อยจนไกลลิบตาที่พวกเราจะมองเห็นชาวบ้านเหล่านั้น

จากนั้นภาพความสนุกสนานบนขบวนรถไฟก็เริ่มขึ้น ขณะที่กำลังแล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านสถานีต่าง ๆ รุ่นพี่ก็มาดีดกีตาร์โดยมีน้อง ๆ แหกปากร้องเพลงเต้นกันถึงพริกถึงขิง มีน้ำเมา ขนมขบเคี้ยวที่เอามาแบ่งปันกันและกัน ในโบกี้ของพวกเรา (ถ้าสังเกตให้ดี ขณะที่พวกเราสนุกสนานกันอยู่นั้น ก็ยังมีรุ่นพี่บางคนแบ่งกันไปนั่งเฝ้าประตูทางเข้าออกทั้งสองด้านของโบกี้รถไฟ เพราะอะไรพวกเราคงน่าจะมีคำตอบให้กับพวกเรากันเอง) เป็นที่น่าสนใจของผู้โดยสารในโบกี้อื่น หรืออาจเป็นที่น่ารำคาญของผู้โดยสารบางคนที่กำลังหลับไหลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกสะเทือน หรือลดเสียงแหกปากร้องเพลงลงได้ (ขำ ๆ) ยังคงสนุกสนานกันต่อ จนแต่ละคนเริ่มหมดแรงสลบหลับไปตาม ๆ กัน

จากเสียงที่มันดังมากก็เริ่มสงบเงียบลงเรื่อยจนไม่เกือบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย นอกจากเสียงพูดคุยกันเบาของคนที่ยังไม่หลับ ช่วงที่พวกเรากำลังหลับกันอยู่นั้น แต่พวกพี่ ๆ เขาไม่ได้หลับไปด้วย เขายังคงต้องนั่งเป็นยามเฝ้าประตูเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยให้กับพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่รู้กันว่ากว่ารถไฟแล่นถึงกรุงเทพ ต้องหยุดตามสถานีต่าง ๆ ก็ต้องมีผู้โดยสารที่ต้องการขึ้นมาหาที่นั่งที่ยังคงว่างและพ่อค้าแม่ค้าที่ขึ้นมาขายอาหารเครื่องดื่ม ก็จะมีพี่ ๆ คอยกันผู้โดยสารที่จะเข้ามานั่งในโบกี้พวกเรา เพราะบางจุดยังมีที่ว่างอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสมาชิกทุกคนที่กำลังหลับอย่างไม่รู้สึกตัว เวลาต้องการจะไปเข้าห้องน้ำก็จะมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ สมาชิกที่เดินไปคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำเลยทีเดียว เพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกปลอดภัยแน่นอน

แม้กระทั่งมีคนเมาเดินเข้ามาในโบกี้ พี่ ๆ ก็ต้องคอยเดินตามเพื่อเจรจากับคนเมาให้ไปอยู่อีกโบกี้อื่น ด้วยคำพูดที่ดี ซึ่งถ้าเอาเข้าจริง ๆ มันก็เสี่ยงกับอันตรายที่พี่คนนั้นอาจะได้รับก็ได้ ไม่ว่าอาจถูกชกต่อยหรือโดนทำร้ายด้วยอาวุธ เพราะตลอดการเดินทางกลับนั้นก็ต้องผ่านเรื่องราวที่ค่อนข้างอันตรายพอดู แต่พวกเราก็มีพี่ ๆ นี่แหละเป็นคนคอยดูแลมาจนถึงกรุงเทพเป็นเวลาเกือบ 14 ชั่วโมงที่ใช้ในการเดินทางด้วยรถไฟ และต่างคนก็แยกย้ายกันลงตามสถานีที่สะดวกและใกล้บ้านที่สุด

หลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพแล้ว พวกเราก็ไม่ได้หายหรือแยกไป ยังคงมารวมตัวเพื่อสานสายใยมิตรภาพที่พวกเราไม่อาจจะลืมมันได้ และยังคงคิดถึงบรรยากาศในค่ายร่วมกัน พูดไปหัวเราะไปอย่างเมามันส์ จนกระทั่งลืมเพื่อนคนอื่นไปเลย ได้นัดกินข้าวกันแล้วยังก็ไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกัน ไม่มีการแบ่งแยก มีแต่รอยยิ้มที่มีแต่ความจริงใจสดใสต่อกัน เวลาที่มีเทศกาลอะไรทางค่ายก็จัดงานเพื่อให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้มาพบกัน เพื่อมีโอกาสได้ถามสารทุกข์สุกดิบของแต่ละคน ซึ่งอาจจะมีรุ่นพี่เก่า ๆ มาร่วมสนุกและได้รู้จักสมาชิกใหม่ ๆ ไปพร้อมกันด้วย พวกเราทุกคนก็มาร่วมงานกันเป็นอย่างดี และพอรู้ว่าใครมาไม่ได้ก็เป็นต้องโทรตามจนต้องใจอ่อนมาจนได้ ส่วนบางคนที่มีธุระที่อื่นมาร่วมงานไม่ได้ก็ยังแวะมาแค่แวบ ๆ ให้พวกเราตื่นเต้น

ยิ่งไปกว่านั้นถึงขนาดหลบพ่อแม่มาก็มี พวกเราก็ลองคิดดูนะว่านั่นน่ะเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะ ความรักและความผูกพัน ที่เรามีให้ต่อกัน ถึงขนาดมีรุ่นพี่บางคนเตือนว่าอย่าเสพกับมันมากจนเกินไป มันจะหมดไปก่อนที่จะไปออกค่ายอีกตั้งหกเดือน อะไรประมาณนี้แหละอาจจะเรียงคำพูดไม่ถูก แต่ก็คิดว่ามันคงไม่เป็นไปตามนั้นหรอก

แต่มาถึงเวลานี้เมื่อนึกถึงคำเตือนของรุ่นพี่ มันก็เป็นจริงอย่างนั้น แค่ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย โดยที่จะมีผู้เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 3 คนซักครั้ง และส่วนใหญ่เรื่องที่เกิดขึ้นมันเริ่มมาจากเรื่องเล็กนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่มันก็ขยายวงกว้างออกไปมากกว่าความจริงเพราะการพูดปะติดปะต่อ จนทำให้ความรักและความผูกพันที่พวกเรามีให้แก่กันมันก็ถูกบันทอนลงไป ก็เพราะเพียงการสื่อสารของพวกเรานั่นแหละเป็นหลัก และสาเหตุความรู้สึกส่วนตัวของสมาชิกบางคน พฤติกรรมที่สมาชิกกระทำต่อกัน สมาชิกต่างหวังดีต่อกันจนเกินเหตุ เก็บความรู้สึกที่ไม่ดีไว้แต่เพียงผู้เดียว มีอคติอยู่ในใจ สมาชิกไม่กล้าพูดและยอมรับความจริง และที่สำคัญที่สุดสมาชิกไม่กลั่นกรองสิ่งที่ได้รับฟังมาจากสมาชิกอีกคน (เรียกว่า หูเบาก็ว่าได้) เลยอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดของแต่ละคน เพราะแต่ละคนนั้นก็แปลสารที่ได้ฟังมาไม่เหมือนกัน แล้วด้วยนิสัยของแต่ละคนก็ย่อมแต่ต่างกันไปยิ่งเป็นผลต่อการที่จะรับฟังคำอธิบายที่กระจ่างจากคนที่จะอธิบาย

ซึ่งพวกเราควรนึกไตร่ตรองมองย้อนหลังไปถึงวันที่ทำให้เราสามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ด้วยความเข้าใจซึ่งวันนี้พวกเราต่างไม่มีเหลือให้กันเลย คงมีบางคนบ้างนะที่จะคิดเหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันหายไปไหนหมด พวกเราไม่ต้องการมันแล้วหรืออย่างไร ความผูกพันความรักความเห็นอกเห็นใจระหว่างพวกเราทุกคน พวกเราจะปล่อยให้ความหวาดระแวงและอารมณ์มันมาครอบงำความรู้สึกที่ดีหรือความผูกพันที่พวกเราต่างเคยมีให้ต่อกันและสานมันมาจนถึงทุกวันนี้ (ไม่เสียดายมันรึ) จะให้มันสูญเปล่าหายไปกับสายลมโดยไม่หันหน้ามาปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน

แล้วที่พวกเราต่างก็เรียกที่ที่พวกเราได้มาอยู่รวมกันว่าเปรียบเหมือน บ้านหลังน้อย ครอบครัวอันจะแสนอบอุ่น มีพี่ ๆ มีน้อง ๆ ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ก็เกือบจะไม่ต่างกับ บ้านร้าง ที่อาจจะหลงเหลือเพียงคนที่พวกเราเรียกเขาว่าพี่ ๆ อยู่เพื่อดูแลบ้านอย่างลำพัง เพราะสมาชิกในครอบครัวต่างก็พากันแยกออกไปมีครอบครัวเป็นของแต่ละคน ไม่แม้กระทั่งจะเหลียวหลังมาสนใจบ้านหลังนี้อีกเลย ลืมนึกไปถึงพี่ๆ ที่ต้องเฝ้าบ้านที่ไร้ผู้อาศัยในบ้าน ไม่มีคนไหนเห็นความสำคัญของบ้านหลังนี้ และบ้านหลังนี้ถ้าพี่ ๆ จากมันไปอีกพร้อมที่จะเปิดรับสมาชิกใหม่ ๆ ที่อยากจะมาร่วมเป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกเรา

สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากให้พวกเราได้เข้าใจคำว่าพี่น้อง พวกเรามาอยู่ตรงนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ในขณะนั้น พี่ก็ยังเป็นพี่น้องก็ยังเป็นน้อง อะไรที่ผิดพลาดไปก็คงจะไม่มีใครที่จะถือโทษโกรธกันไปได้นานหรอก ถ้ารู้จักการให้อภัย ขอให้เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด (เรื่องที่มันทำให้พวกเราแต่ละคนต้องเกิดความแตกแยกและตัดขาดความสัมพันธ์กัน) ขอร้องเถอะนะกลับมามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ทุกคนที่มาอยู่กันตรงนี้ ด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนัก บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรจะให้กอบโกยไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว บ้านหลังนี้มีแต่ประสบการณ์ที่พี่ ๆ ที่พวกเราสรุปคิดว่าดีหรือไม่ดี ที่เขาต่อสู้ต่อทุกอย่างมาเพื่อสังคม แล้วได้นำมาเล่าให้น้อง ๆ อย่างพวกเราได้ฟัง ก็เพื่อจะได้นำประสบการณ์เหล่านี้ไปปฎิบัติสานต่อเพื่อคนที่ด้อยกว่าพวกเราอย่างมาก พวกเราจึงถือว่าเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่จะสามารถเข้าไปสร้างสถานที่ที่จะเป็นแหล่งก่อเกิดความรู้ให้แก่คนเหล่านั้น เพื่อให้เขามีความรู้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่มีปัญญาหรือเรียกตัวเองว่าปัญญาชนที่ร่ำเรียนมาก็เพื่อแค่จะมาเอาเปรียบชาวบ้านที่เขาไม่มีความรู้ แถมยังถูกคนส่วนใหญ่ในสังคมเมืองที่พวกเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้ดูถูกเหยียบย่ำพวกเขาอย่างกับไม่มีคุณค่า แล้วหากว่าครอบครัวของเราเองต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวบ้านเหล่านั้น ไม่มีความรู้ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีใครเข้ามาให้โอกาสเราก็คงจะต้องตกเป็นเครื่องมือของคนที่มีความรู้แต่มีไว้เพื่อเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

มาเถอะนะพี่น้องพ้องเพื่อนที่รักทุกคนพวกเรากลับมาร่วมใจกันใหม่อีกครั้ง แล้วไปช่วยกันฟื้นฟูและพัฒนาชนบท ถึงมันจะแค่น้อยนิดไม่ใหญ่โต แต่ก็ได้ชื่อว่าพวกเราได้ให้โอกาสแก่เด็ก ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนแต่ขาดแคลนทั้งสถานที่และอุปกรณ์การเรียนอยู่มากมาย พวกเขากำลังรอคอยโอกาสจากพวกเราอยู่ ไปช่วยพวกเขาด้วยกันเถอะพี่น้องทั้งหลาย

เมืองหนาวไม้เก่า
2 พฤษภาคม 2547