
ผมกลับไปบ้านนอกเพื่อไปเยี่ยมพ่อและแม่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยระยะทางสองร้อยกว่ากิโล กับเจ้าดีแม็กซ์ 4 ประตูกับ 6 ชีวิตน้อย ๆ เราไปกันเรื่อย ๆ ประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงเราก็ได้ยกมือไหว้พ่อแม่
อากาศที่หนาวแบบฉับพลันในต้นเดือนมีนาคม เล่นเอาผมแทบแย่เลย คัดจมูกและเริ่มจาม เอาแล้วไงไข้หวัดหน้าร้อนตามมาเล่นงานแล้วมั้งเนี่ย ทำไงดี จ้วงยาดองในโหลมา 2 จอก สักพักร่างกายค่อยอบอุ่นขึ้น หลังจากกินข้าวเช้าตอนสาย ๆ กันเสร็จแล้ว ผมก็เดินชมสวน
พ่อจะปลูกต้นไม้คละกันไป ทั้งมะม่วง ขนุน มะไฟ ลองกอง ส้มโชกุน มังคุด ฝรั่ง มะขาม กระท้อน มะนาว มะกรูด หวาย ชะอม สะเดา ข่า ตะไคร้ กะเพรา รวมถึงหญ้าที่ไม่ได้ตั้งใจปลูก แต่มันอาสาขึ้นกันเองจนปราบไม่ไหว
ผมเดินชมสวนด้วยหัวใจห่อเหี่ยว ปีนี้มันแล้งเหลือทน ต้นไม้หลายชนิดเริ่มยืนต้นตายไป โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ พ่อก็นอนป่วยอยู่ แม่ก็มีปัญหาหัวเข่าทำให้เดินลำบาก ไหนจะต้องคอยดูแลพ่ออีก ชวนมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วย ก็ไม่ยอมมา แกบอกเป็นห่วงบ้าน ไม่มีใครดูแล ผมเริ่มคิดถึงความล่มสลายของสังคมชนบท บ้านที่เป็นที่คุ้มกะลาหัวมาตั้งแต่ผมยังเล็ก บ้านที่เคยแวดล้อมไปด้วยลูกหลานมากมาย ปัจจุบัน เหลือเพียงพ่อแก่ แม่เฒ่า อยู่กันสองตายาย ช่างเป็นบรรยากาศที่ว้าเหว่เสียนี่กระไร
ผมเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ลักษณาการเช่นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะบ้านผม แต่กระจายกันอยู่ทั่วหัวระแหง ไปบ้านหลังไหนก็จะเจอเฉพาะคนเฒ่ากับบ้านโทรม ๆ ทั้งนั้น ส่วนลูกหลานต่างก็อพยพเข้าเมืองมาเรียน มาทำงานกันหมด ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า แล้วหากคนรุ่นนี้หมดไป ใครจะมาอยู่ดูแลบ้าน มาอยู่ในหมู่บ้านกันต่อไป สังคมหมู่บ้านจะไม่ล่มสลายหรือ
ประมาณ 5 โมงเย็น ผมทำกับข้าวซึ่งวันนั้น ต้มยำปลาช่อนนา นึ่งปลาทับทิม ตำน้ำพริกแมงดา เสร็จแล้วก็เดินไปหาเก็บผักริมรั้ว ซึ่งจากความร้อนแล้งมาก ๆ ผักหญ้าก็หากินได้ยากเสียแล้ว
เย็นนั้นหลานชวนไปตกปลาที่บ่อ ซึ่งขุดไว้หลายปีแล้ว เอาน่าลองสักตั้งเผื่อสนุก ก็เลยใช้วิชาเมื่อสมัยเด็ก ๆ เอามาใช้ คว้าจอบได้ก็เข้าสวนไปขุดหาไส้เดือน ขุด ขุด และขุดจนเหงื่อโทรมร่าง ดินก็แข็งเสียเหลือเกิน พระช่วย!!! ไส้เดือนหายไปไหนหมด “ไส้เดือนหายไป!! พื้นดินปราศจากไส้เดือน!!”
มันเป็นไปได้อย่างไรเนี่ย ที่จู่ ๆ สวนซึ่งผมเคยขุดเพียงจอบ 2 จอบก็ได้ไส้เดือนเกินพอแล้ว แต่ ณ วันนี้ไส้เดือนหายไปไหนหมด หรือว่าสังคมมนุษย์ไม่ได้ล่มสลายเฉพาะหมู่บ้าน แต่ยังลามไปถึงสังคมของไส้เดือนที่ถึงคราวล่มสลายไปด้วย เพราะหากจะว่าไส้เดือนหนุ่มสาวพากันเข้าเมือง เพื่อเรียน หรือทำงาน ก็น่าจะเหลือไส้เดือนชราไว้เฝ้าผืนดินบ้าง นี่แม้ไส้เดือนชราก็ไม่มีเหลือ
ผมย้ายที่ขุด โดยเข้ามาขุดใกล้ ๆ คอกไก่ เผื่อไส้เดือนจะมาหากินอาหารมูลไก่กันบ้าง ปรากฏผลเช่นเดิม คือไม่มีไส้เดือน ผมย้ายที่ขุดอีก 2-3 จุด จนเหนื่อยหอบ ก็ยังไม่เจอไส้เดือนแม้เพียงร่องรอย เศร้าครับ
หลังจากตีนฟ้าปิด และผมสิ้นความอดทนที่จะตามหาไส้เดือน และไม่ไปตกปลาแล้ว จึงได้นั่งถองยาดองแก้กลุ้ม เริ่มจัดลำดับความคิดให้สมอง ก็พอจะมองเห็นต้นเหตุราง ๆ
เริ่มจากปัญหาสารเคมี เราใช้สารเคมีกันมากเหลือเกิน เมื่อตกค้างอยู่ในดินนาน ๆ เข้า ก็เกิดกรด ด่าง หรืออะไรที่ไม่เป็นผลดีกับดินทั้งหลาย ทำให้ดินเริ่มหมดสภาพความร่วนซุย เมื่อดินแข็งมาก ๆ ไส้เดือนก็ไปไหนไม่เป็น ดินขาดธาตุอาหารที่ไส้เดือนต้องการ ดินขาดออกซิเจน แล้วไส้เดือนจะอยู่ได้อย่างไร
การขาดการปลูกพืชหมุนเวียน อาจเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เหมือนกันว่าดินไม่มีการเปลี่ยนสภาพ ขาดการพรวนไถ ทำให้ดินยิ่งแน่นขึ้น ก็คงต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป
ปัญหาการล่มสลายของสังคมครอบครัวชนบท จนลามมาถึงสังคมของไส้เดือน บางท่านอาจมองเป็นคนละเรื่องเดียวกัน แต่ผู้เขียนเองเมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าตรงนั้น กลับมองว่า “การล่มสลายของสังคมครอบครัวชนบทนี่เอง ที่ทำให้สังคมของไส้เดือนเริ่มล่มสลายตามมา”
ทิดโส โม้ระเบิด
ครับผม… ดินที่มีใส้เดือนคือดินที่มีคุณภาพ
….อีกสาเหตุ อาจเป็นเพราะคนเรามักรังเกียจกันยิ่งกว่ากิ้งกือ…ไส้เดือน…. ด้วยกระมัง? ไส้เดือนกลัวการถูกรังเกียจเดียจฉันท์ ซะจนหลบลี้หนีหน้าไปหมด….
ดังนั้น คนเราต้องรักกัน… จะช่วยให้ดินมีคุณภาพ สังคมหมู่บ้านไม่ล่มสลาย… สังคมไส้เดือนไม่สูญสิ้น…
เขียนได้ดีค่ะ เป็นธรรมชาติ เรียบง่าย.. ให้ข้อคิด…
ทัศนะข้างต้น อย่าถือสาค่ะ คิดเล่น ๆ
เขียนเปรียบเปรยได้ดีครับ สุดยอด
อ่านไปคิดไปก็ กะน่าเป็นห่วงนะครับ ดินแห้งซะจนแม้แต่ใส้เดือนก็อยู่ไม่ได้…อ่านเพลินดีครับ อ้ายทิด มองเห็นบรรยากาศเลย…และก็ได้รู้คุณประโยชน์ของยาดองเพิ่มมาอีก…แก้หวัดก็ชะงัด..แก้เซ็ง ก็เยี่ยม อืมมมม
….เย้าเล่นนะครับ..
ชื่อเรื่องน่าติดตามดี….อ่านแล้วสนุกด้วย…

ที่หมู่บ้านต่างจังหวัดก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่มันก็ไม่ได้ล่มสลายหรอก…เพราะมีพม่ามั่ง
คนจังหวัดอื่นมั่งที่มาดองกับคนในหมู่บ้านอยู่กันเยอะ