“ตื้ด….ตื้ด….ตื้ด….”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ผมต้องละมือจากงานที่ทำอยู่ ไปปลดเจ้ามือถือที่แขวนอยู่ข้างเอว
“สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ”
ผมพยายามพูดให้สุภาพและเป็นกันเอง เพราะไม่ได้ดูหมายเลขโทรศัพท์ว่าใครโทรมา
“กูเองโว้ย เป็นไงบ้างวะ”
เสียงที่ตอบมาเป็นกันเองกว่าผมเสียอีก “กูเองโว้ย” ถึงแม้ไม่บอกชื่อ แต่เสียงที่ได้ยิน ก็เรียงนามมาได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร อดีต “สหายจันทร์ ควายแดง”
ผมกับสหายจันทร์พบกันในขบวนปฏิวัติ เราต่างก็เข้าป่าเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาในเขตงานอีสานใต้ ชาวอีสานใต้แทบไม่มีใครไม่รู้จัก สหายจันทร์ ควายแดง เขามีบุคลิกพิเศษ และมีเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าจดจำ เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว เขาไม่ใช่จัดตั้ง แต่ชาวอีสานใต้รู้จักเขามากกว่าจัดตั้งบางคนเสียอีก ฉายา สหายจันทร์ ควายแดง ผมรู้จักและได้ยินเรื่องราวของเขาก่อนจะรู้จักตัวจริงเสียอีก
หลังจากจบจากโรงเรียนการเมือง การทหาร ผมได้รับคำสั่งให้ขึ้นแนวหน้าเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกองทหาร สหายจันทร์เข้าป่าหลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาระยะหนึ่ง และได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยการผลิตในเขตหลังของเขตงานจรยุทธ์เดียวกับผม ผมพบเขาครั้งแรกเมื่อหน่วยจรยุทธ์ที่ผมสังกัดได้ขึ้นมาเขตหลังเพื่อศึกษาและสรุปงาน พวกเราเข้าพักในทัพการผลิตที่สหายจันทร์สังกัดอยู่ สหายจากหน่วยการผลิตตั้งแถวต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น ต่างยื่นมือเข้าสัมผัสมือของกันและกัน พร้อมเสียงทักทาย
“สบายดี บ่ สหาย”
“แข็งแฮง บ่ สหาย”
สำเนียงภาษาอีสานเป็นสื่อความรู้สึกจากใจถึงใจ
“เซาะสบาย มิตร”
คำทักทายภาษาเขมรในความหมายเดียวกันดังแทรกขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมอง ที่สะดุดใจมิใช่ภาษา หากแต่เป็นสำเนียงที่พูดไม่มีเค้าของคนเขมรเลย สำเนียงจีนชัด ๆ เป็นเสียงของ สหายจันทร์ ควายแดง
เขายืนเด่น ตัวตรงในชุดทหารสีเขียวเข้ม แต่มีสภาพที่เก่าสีซีดจางตามอายุการใช้งาน มีรอยปะซุนหลายแห่ง แขนเสื้อทั้งสองข้างพับขึ้นอยู่ระหว่างข้อมือและข้อศอกอย่างไม่เป็นระเบียบ ปล่อยชายเสื้อ คาดเข็มขัดทหารทับ มีซองใส่แม็กปืนเอ็ม16ได้สองแม็ก และกระติกน้ำ ร้อยทับเข็มขัดทหาร ห้อยอยู่สองข้างตัว สวมรองเท้าแตะฟองน้ำ สะพายปืนเอ็ม16 ที่มีคาบสนิมเกาะบริเวณลำกล้อง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่สนิทสนม สีหน้าที่ดูคึกคัก ดวงตาเป็น “ตาชั้นเดียว” ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เวลายิ้มหรือหัวเราะจะเรียวเล็กลง พร้อมริ้วรอยแห่งประสบการณ์จะผุดขึ้นบริเวณหางตาและหน้าผาก นั่นเป็นภาพแรกที่เรียกว่า “แรกพบ” เลยทีเดียว
วันนั้น ผมกับสหายจันทร์ไม่มีโอกาสพูดคุยกันมากนัก เนื่องเพราะสหายจันทร์กับสหายในหน่วยการผลิตง่วนอยู่กับหน้าที่ “เจ้าภาพ” ที่ต้อนรับแขกเหรื่อกองจรยุทธ์อย่างผมกับพวก ก่อนมืดค่ำ ผมถือโอกาสสำรวจสภาพของทัพที่พักและภูมิประเทศ ทัพนี้ตั้งอยู่ห่างจากไร่ของหน่วยการผลิตไม่มากนัก
ด้านข้างมีลำห้วยเล็กๆ ที่กว้างเพียงแค่กระโดดข้ามได้เท่านั้น เป็นลำห้วยที่แห้งขอดเนื่องจากเป็นหน้าแล้ง อาศัยการขุดบ่อจากพื้นก้นลำห้วยลึกลงไป น้ำในบ่อใช้ทั้งอาบและดื่มกิน รอบ ๆ ทัพมีร่องรอยการตัดถาง ใช้ทำเป็นที่พักสำหรับผูกเปลอยู่หลายแห่ง ด้านข้างของที่ผูกเปลบางแห่งมีการขุดหลุมเพาะขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับคนนอนได้เพียงคนเดียว มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นวางอยู่บนแคร่เล็ก ๆ ที่ทำขึ้นหยาบ ๆ แสดงว่าเจ้าของที่พักและหลุมเพาะต้องเป็นของหน่วยการผลิตอย่างแน่นอน กึ่งกลางทัพมีจอมปลวกขนาดใหญ่ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าจอมปลวกนี้ถูกขุดเป็นอุโมงค์ลึกเข้าไปตรงกลาง มีทางเข้าอยู่สามด้าน ทางเข้าไม่กว้างนักแต่วิ่งก้มเข้า-ออกไม่ติดขัด จุดที่ทางเข้ามาบรรจบกันถูกขุดให้เป็นโพรงขนาดคนสิบคนนั่งติดๆ กันไม่อึดอัด ใช้หลบภัยทางอากาศและการยิงของปืนใหญ่ได้อย่างสบาย ใกล้ๆ กับบ่อน้ำถูกจัดสร้างให้เป็น “โรงครัว” ซึ่งก็คือการถางให้มีบริเวณที่กว้างขวางมากที่สุดในทัพ จัดมุมหนึ่งให้เป็นที่หุงข้าว ปรุงอาหาร เตาก็ใช้หินสามก้อนมาวางที่เรียกว่า “ก้อนเส้า” สำหรับตั้งหม้อ ไม่มีหลังคา ถ้าฝนตกก็มุงผ้ายางอยู่เหนือเตา ฝนไม่ตกก็เก็บ ขลุกขลักหน่อย แต่ก็ปลอดภัยจากการสังเกตการณ์จากเครื่องบินของศัตรู บริเวณที่เหลือใช้เป็นที่รวมพลและกินข้าว ดูจากสภาพพื้นดินของโรงครัวเรียบเตียนและรอบๆ บริเวณทัพ คาดคะเนได้ว่าทัพแห่งนี้หน่วยการผลิตคงปักหลักอยู่ที่นี่มานานพอสมควร คืนนั้นผมและสหายในหน่วยจรยุทธ์เลือกทำเลที่ใกล้ “โรงครัว” เป็นที่พักเพราะสะดวกทั้งการไปอาบน้ำและกินข้าว หลังจากฟังผู้รับผิดชอบการทหารของหน่วยการผลิตวางแผนการทหารระวังภัยตอนกลางคืนแล้ว ผมก็เข้านอนทันที เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
“บึ้ม…!!”
เสียงระเบิดของปืนใหญ่ดังสะท้านป่า ทำให้ผมสะดุ้งตื่น รีบผงกหัวขึ้นพาดขอบเปลเพื่อให้สามารถรับฟังเสียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้ยินเสียงขยับตัวเบา ๆ ของสหายในหน่วยจรยุทธ์ที่มาด้วยกัน แสดงว่าทุกคนรู้สึกตัวแล้วพร้อมตั้งใจฟังเสียงรอบข้างและเสียงตกของลูกปืนใหญ่เพื่อจับทิศทางการยิงปืนใหญ่ของศัตรูเช่นเดียวกับผม
“ตูม…!!”
เสียงระเบิดดังเลยทัพเราไปไกลพอสมควร แสดงว่าศัตรูยิงสุ่มเพื่อก่อกวนเท่านั้น ทัพที่พักของเราไม่ได้อยู่ในรัศมีการยิง ใจที่เขม็งตึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“บึ้ม…!!”
เสียงยิงนัดที่สองดังตามมา ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาหาพวกเรา
“สะหาย สะหาย ตื่น ตื่น ศัตรูยิงปืนใหญ่มา”
สหายจันทร์วิ่งมาพร้อมเสียงเรียกที่พยายามให้เป็นเสียงกระซิบกระซาบ แต่ได้ยินไปทั่ว คนปลุกให้ตื่นรู้สึกว่าจะตื่นจริง ๆ และยิ่งตื่นมากขึ้นเมื่อเสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ลูกที่ 2 ตก ขณะที่คนถูกปลุกยังคงนอนหัวฟาดขอบเปลเฉย
“สะหายเป็นทะหานอิหยัง คือนอนขี้เซาแท้”
เสียงเจ็กพูดลาวได้ยินชัดเจน ทปท. เชื้อชาติลาวอมยิ้มแล้วตอบกลับ
“เฮาฮู่สึกโตแต่โดนแล้ว”
“ผมมาปลุกสะหาย จะให้สะหายไปหลบปืนใหญ่ในอุโมงค์ด้วยกัน”
“พวกเราไม่ไปหรอก ปืนใหญ่ไม่ได้ยิงมาที่นี่”
ขาดคำเสียงยิงปืนใหญ่ลูกที่สามก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ดังมากขึ้นกว่าเก่า
“อย่าประมาทสะหาย สะหายไม่ไป ผมไปก่อน”
ว่าแล้วสหายจันทร์ก็วิ่งหายลับไปในอุโมงค์ คืนนั้นศัตรูยิงอีก 2-3 ลูกแล้วก็เลิกราไป สหายในหน่วยการผลิตก็ออกจากอุโมงค์กลับเข้านอนตามปกติ ตอนเช้าสหายจันทร์ออกปากชมพวกเราว่า กล้าหาญ แต่ก็ได้รับคำชี้แจงจากพวกเราว่า นี่ไม่ใช่ความกล้าหาญ พวกเราคุ้นชินกับเสียงปืนใหญ่ จับกฎเกณฑ์มันได้ รู้ว่าเสียงปืนใหญ่ที่แหวกอากาศมานั้น เสียงแบบไหนลูกปืนตกห่างออกไป เสียงแบบไหนจึงเป็นอันตราย และถ้าตกใกล้ พวกเราก็วิ่งเข้าอุโมงค์เช่นเดียวกัน แต่สหายในหน่วยการผลิตไม่เคยชิน จึงเป็นธรรมดาที่ต้องตกใจ และที่ผมประทับใจก็คือ จิตใจที่เป็นห่วงเป็นใยสหายของสหายจันทร์ ขณะที่ตัวเองกุมสภาพการยิงทำลายของปืนใหญ่ไม่ได้ ยังอุตสาห์วิ่งมาปลุกสหายด้วยเกรงว่าสหายจะเกิดอันตราย
จากวันนั้น ผมกับสหายจันทร์ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ผมจึงรู้ว่าที่จริงแล้วสหายจันทร์นั้นมีนามสกุลจัดตั้งว่า “สิงห์โรจน์” มิใช่ “ควายแดง” อย่างที่สหายเรียกกัน อีสานใต้อาจจะแตกต่างจากเขตงานภาคอื่นๆ คือนอกจากมีชื่อจัดตั้งแล้ว ยังมีนามสกุลจัดตั้งอีกด้วย เพื่อง่ายต่อการสืบสายจัดตั้ง “สิงห์โรจน์” เป็นนามสกุลจัดตั้งของสมาชิกในองค์กร “แนวร่วมประชาชน” ในเมืองที่เข้าป่าทางอีสานใต้ “ควายแดง” มิใช่นามสกุลที่สหายจันทร์มาเปลี่ยนทีหลังเพื่อหวังเป็นต้นตระกูล หากเป็นฉายาที่ถูกตั้งและเรียกขานจากสหายจนโด่งดังไปทั่ว และใครๆ ก็เข้าใจว่าเป็นนามสกุลจัดตั้งของสหายจันทร์ ถึงกับมีผู้พยายามแปลความหมายของนามสกุลจัดตั้ง “ควายแดง” นี้อย่างสวยหรูว่า มีจิตใจที่ก้มหน้ารับใช้อย่างทรหดเหมือน “ควาย” และความคิดปฏิวัติ “แดง” สดใส แต่สหายจันทร์หาได้ภาคภูมิใจกับ “นามสกุล” ใหม่นี้ไม่ แต่ถ้าสหายอยากเรียก เขาก็ไม่ว่า และเขายังได้เล่าเบื้องหลังของที่มาของ “ควายแดง” ให้ผมฟังอีกด้วย
เมื่อครั้งที่สหายจันทร์สังกัดสำนักการผลิตในเขตหลังบนผืนแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งอ้ายน้องกัมพูชาให้การสนับสนุนให้ขบวนปฏิวัติไทยใช้เป็นแนวหลัง ด้วยสภาพภูมิประเทศของประเทศกัมพูชาเป็นที่ราบ สลับกับป่าไม้แดง ไม้เต็ง ไม้รังเป็นโคกโปร่ง ๆ จึงหาร่มเงาหลบได้ยากมาก ครั้งหนึ่งสหายจันทร์ได้รับหน้าที่ให้เลี้ยงวัวและควาย จึงพาฝูงวัวและควายไปเลี้ยงในแถบที่มีหนองน้ำ เมื่ออากาศร้อนขึ้น สหายจันทร์เห็นควายลงไปนอนแช่ในหนองน้ำและเกลือกคลุกขี้ตมขี้โคลนตามธรรมชาติก็เบาใจ ส่วนวัวนั้นเดินและเล็มต้นไม้ใบหญ้า ลัดเลาะตามป่าโคก มิได้ลง “นอนน้ำ” เหมือนควาย ด้วยความเป็นห่วงว่าถ้าหากวัวตากแดดมากเกินไปจะทำให้วัวไม่สบายตัวและหากวัวเป็นอะไรไป งานการที่ต้องใช้แรงงานของวัวก็สะดุดหยุดลงด้วย สหายจันทร์จึงไปจูงวัวกลับมาที่หนองน้ำและพยายามจูงวัวลงไป “นอนน้ำ” เหมือนอย่างควาย สหายจันทร์ทั้งฉุดดึง ทั้งปลุกปล้ำ ทั้งผลักดันอย่างไร วัวเจ้ากรรมก็ไม่ยอม “นอนน้ำ” สักที จนสหายจันทร์ต้องยอมแพ้ ครั้นตกเย็นจึงต้อนวัวและควายกลับสำนัก ถึงที่พักก็อยากจะปรับทุกข์เรื่องวัวกับสหาย แต่ก็อยากสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน
“สะหาย ทำไมไอ้ควายแลงมันไม่ยอมนอนน้ำ ผมพยายามดึงมันลงน้ำ มันฝืนจนผมหมดแรง”
คำว่า “ควายแลงไม่ยอมนอนน้ำ” เรียกเสียงฮาจากสหายโดยเฉพาะสหายชาวนาเป็นอย่างมาก ด้วยเข้าใจว่าสหายจันทร์แยกไม่ออกว่าตัวไหนควาย ตัวไหนวัว และเรียกวัวว่าควายแดง อีกทั้งสำเนียงที่พูดไทยสำเนียงจีน นับเป็นมุขที่เด็ดและประทับใจสหายชาวนามาจนลืมไม่ลง เรื่องในวันนั้นจึงเป็นที่มาของ “สหายจันทร์ ควายแดง” ที่ชาวอีสานใต้รู้จักตั้งแต่นั้นมา
อันที่จริงสหายในเมืองที่ “ปล่อยไก่” ให้สหายชาวนาพูดถึงมีมากมาย ผมเองยังเคยถางต้นตะไคร้ที่ปลูกไว้จนหมดเพราะเข้าใจว่าเป็นต้นหญ้า ด้วยวิถีชีวิตในเมืองที่เหินห่างจากชีวิตในชนบท แต่ในกรณีของสหายจันทร์ เขาแยกความแตกต่างทางกายภาพของวัวกับควายออกอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่เข้าใจนิสัยทางธรรมชาติของวัวกับควายเท่านั้น ที่สำคัญเขายอมให้สหายเรียกขาน “สหายจันทร์ ควายแดง” และมุข “ควายแดง” ก็ยินดีให้สหายนำไปพูดคุย หยอกล้อเพื่อสร้างบรรยากาศสนุกสนานมาเสมอ
พูดถึงภาระหน้าที่เลี้ยงควายที่สหายจันทร์ได้รับมอบหมาย มีปรากฎการณ์ที่ซ้อนสิ่งดีๆในตัวสหายจันทร์ที่สะท้อนออกมาสร้างความประทับใจแก่สหายหลายครั้ง ครั้งหนึ่งในช่วงต้นฤดูฝน สหายในสำนักต่างไปดำนา สหายจันทร์จึงต้องเลี้ยงควายอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เลี้ยงเพียงตัวเดียว สหายจันทร์จึงจูง “บักตู้” ไปหากินหญ้าบริเวณหนองน้ำ ไม่ห่างจากนาที่เหล่าสหายดำนากันอยู่ รอบ ๆ หนองน้ำเป็นทุ่งหญ้าโล่ง มีก่อหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ เป็นหญ้าที่ขึ้นหลังฝนไม่นาน เสียงเพลงปฏิวัติที่สหายร้องไป ดำนาไปสร้างบรรยากาศที่คึกครื้น เข้มแข็ง สหายจันทร์อดไม่ได้ที่จะร้องคลอตามเบาๆ มือข้างหนึ่งถือกิ่งไม้เล็กๆกวัดแกว่งไปมา อีกข้างหนึ่งก็ถือเชือกที่ผูกสนตะพายจูง บักตู้เดิน ๆ หยุด ๆ เป็นระยะ ๆ ให้บักตู้และเล็มหญ้ารอบ ๆ หนองน้ำ พลันสายตาก็พบเห็นกบตัวเขื่อง สีน้ำตาลดำอมเหลือง สหายจันทร์หยุดนิ่งไม่ขยับ เกรงเจ้ากบจะตกใจตื่นหนีไป ในใจเกิดความคิดว่า หากจับกบตัวนี้ได้ สหายที่ป่วยไข้ ไม่สบายจะได้กินกบย่าง กินข้าวได้มาก จะได้หายป่วยเร็วขึ้น คิดได้ดังนั้นจึงตั้งใจว่าต้องจับกบตัวนี้ให้ได้ แต่มือข้างหนึ่งยังต้องถือเชือกที่ผูกบักตู้ไว้ หากปล่อยเชือก บักตู้อาจจะเดินไปกินต้นข้าวที่สหายปักดำไปแล้วเสียหายได้ สายตาเหลือบไปหาบักตู้ เห็นมันยืนกินหญ้ากอหนึ่งอย่างสงบ สหายจันทร์จึงตัดสินใจผูกปลายเชือกเข้ากับเอวของตน แล้วค่อยๆย่องเข้าหาเจ้ากบตัวนั้น ทีละก้าว ทีละก้าวอย่างแผ่วเบา ตามองจ้องไปที่เจ้ากบอย่างไม่ยอมกระพริบ ได้ระยะ เจ้ากบเคราะห์ร้ายยังไม่รู้ตัว สหายจันทร์โดดเข้าตะครุบอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นเองสหายจันทร์ก็รู้สึกตึงที่เอววูบ
“พลัก…!!”
เสียงร่างที่แข็งแรงของสหายจันทร์กระแทกกับพื้นนิ่ม ๆ ข้างหนองน้ำ ในมือว่างเปล่า บักตู้มันเดินไปกินหญ้าก่อใหม่ที่อยู่ห่างไปเล็กน้อยโดยไม่บอกกล่าว เป็นเหตุให้ดึงร่างของสหายจันทร์กระตุกกลับหลัง เสียหลัก พลาดเป้า สหายจันทร์ลุกขึ้นมองบักตู้อย่างเคืองๆ เห็นมันยังจดจ่ออยู่กับการกินหญ้าอย่างสงบเช่นเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเจ้ากบเพียงแต่กระโดดห่างออกไป ไม่ได้หนีไปไหน
“หรือว่าชะตาของมันต้องขาดในวันนี้”
สหายจันทร์รำพึง เขาสาวเชือกให้บักตู้เข้ามาใกล้ แล้วหันก้าวย่างเข้าหาเจ้ากบ “ชะตาขาด” อีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งใจจะไม่ยอมให้พลาดอีก เขาก้มตัวลงต่ำคล้ายจะอาศัยกอหญ้าพรางตัวเหมือนกลัวเจ้ากบจะเห็น ทั้งๆ ที่กอหญ้าสูงไม่ถึงหัวเขา ขาย่อ เท้าค่อย ๆ ก้าวแล้วจรดลงพื้นที่แฉะจมลงเล็กน้อย ไม่ยอมให้เกิดเสียงแม้เพียงใบไม้ตก มือสองข้างยกขึ้นเสมออก ท่วงท่าเหมือนดั่งเสือสมิง นิ้วมือกางออกแต่ปลายนิ้วงองุ้มเปรียบปะดุจกงเล็บอินทรีย์ ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายจับนิ่งที่เจ้ากบเคราะห์ร้าย
“ไอ้กบเอ๋ย เอ็งต้องอุทิศตัวเพื่อการปฏิวัติแล้ว”
เหยื่ออยู่ในรัศมี สหายจันทร์กลั้นหายใจ เกร็งตัวกระโดดเข้าตะครุบอย่างมาดมั่น
“พลัก…!!”
พลาดเป้า!! ครั้งนี้เจ้ากบตกใจกระโดดลงหนองน้ำไป แต่สหายจันทร์ตะครุบขี้โคลนริมหนองน้ำเต็มกำมือ บักตู้อีกแล้ว มันเดินไปกินหญ้ากอใหม่ ทำหน้าที่ของมันด้วยท่วงท่าช้าๆ เนิบๆ ดูไปช่างเยือกเย็นอะไรเช่นนั้น ไม่สนใจว่า ฟ้าจะแดงหรือดินจะเหลือง สหายจันทร์ลุกขึ้นด้วยความโมโหสุดขีด ดวงตาปูดโปน แยกเขี้ยวคำราม ถ้า “เตียวหุย” ในเรื่อง “สามก๊ก” มาเห็นสหายจันทร์ในตอนนี้ต้องเรียกสหายจันทร์ว่า “ตั่วเฮีย” อย่างแน่นอน “หรือว่าชะตาของมันต้องขาดในวันนี้”
สหายจันทร์คำรามในลำคอ ย่างสามขุมเข้าหาบักตู้ “ชะตาขาด” พร้อมกับขว้างดินโคลนในมือเข้าใส่ ถูกสะโพกของมันเต็มๆ บักตู้หันมาชำเลืองดูที่สะโพกเหมือนจะบอกว่าใครเอาอะไรมาสะกิด แล้วหันกลับไปสนใจกับหญ้าอ่อนที่อยู่ตรงหน้าต่อไป ไม่ได้เห็น “ตั่วเฮียของเตียวฮุย” อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ท่วงท่าที่เย็นชาของบักตู้ กระพือไฟแห่งอารมณ์ของสหายจันทร์ให้ยิ่งลุกโหมขึ้น สหายจันทร์ก้มลงหยิบท่อนไม้ขนาดเขื่องที่ตกอยู่บริเวณนั้น เงื้อขึ้นฟาดเจ้าบักตู้สุดแรง
บักตู้สะดุ้งด้วยความเจ็บปวด กระโจนวิ่งไปข้างหน้าอย่างแตกตื่น มันจะลืมหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ ว่าเชือกที่สนตะพายจมูกมัน ปลายอีกข้างหนึ่งผูกอยู่ที่เอวสหายจันทร์ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือสหายจันทร์ลืม แรงกระชากด้วยความตื่นกลัวของบักตู้ ดึงให้สหายจันทร์เสียหลักถลาเป็นอินทรีย์ปีกหักเข้าหาบักตู้ บักตู้เห็นสหายจันทร์มือถือไม้ถลาเข้ามา ยิ่งตื่นกลัวออกวิ่งสุดกำลัง สหายจันทร์ตกใจยิ่งกว่า ขว้างไม้ในมือเข้าใส่ ด้วยความโมโห พร้อมออกแรงดึงหวังจะหยุดบักตู้
“ควายตื่น” สหายจันทร์ไหนเลยจะต้านไหว ต้องวิ่งตามบักตู้สุดฝีเท้า มิฉะนั้นต้องถูกบักตู้ลากล้มลงอย่างแน่นอน เท้าวิ่งไป ปากก็ร้องเอ็ดตะโรด่าบักตู้ด้วยความฉุนเฉียวไป ฝีเท้าสหายจันทร์ยิ่งวิ่งยิ่งช้าสู้ฝีตีนควายไม่ได้ เชือกที่ผูกเอวยิ่งมายิ่งรัดแน่นเข้า
เสียงเอะอะโวยวาย ทำให้สหายที่ดำนาอยู่ในนาต้องหยุดขึ้นมอง เห็นสหายจันทร์ร้องโหวกเหวกวิ่งตามบักตู้ สร้างความขบขันแก่สหายอย่างยิ่ง สหายจันทร์เห็นเหล่าสหายจึงร้องให้ช่วย
“สะหาย…ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วย!!! สะหาย…”
เหล่าสหายยังอยู่ในอารมณ์ที่ขบขันและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงยังไม่มีใครขยับ แต่สหายจันทร์วิ่งจนเหงื่อท่วมตัว เชือกที่เอวก็รัดจนหายใจแทบไม่ออก ฝีเท้าก็อ่อนล้าเต็มที่ ตัดสินใจตะโกนสุดเสียง
“ช่วยกูด้วยโว้ย…!!!”
ท่วงทำนองปฏิวัติที่พูดจาต้องสุภาพถูกแขวนไว้ชั่วคราว มิฉะนั้นวันนี้ ตน “ชะตาขาด” แน่นอน
“เฮ้ย…ฟังอยู่หรือเปล่าวะ”
เสียงอดีตสหายจันทร์ฉุดให้ผมรู้สึกตัว แต่ยังอมยิ้มอยู่
“ฟังอยู่ โทรมามีธุระอะไรหรือ”
“อยากได้เบอร์โทรของสหายจรัสกับสหายใหญ่”
สหายจรัส หรือ หมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช สหายใหญ่ หรือ ภูมิธรรม เวชยชัย ทั้ง 2 คนเป็นอดีตสหายที่เข้าป่าทางอีสานใต้ ตอนนี้เป็นกำลังสำคัญอยู่ในรัฐบาลทักษิณและพรรคไทยรักไทย
“จะเอาไปทำอะไร”
ผมถามด้วยความอยากรู้ ถึงแม้ผมจะไม่มีเบอร์โทรของอดีตสหายทั้งสองคน
“จะโทรไปคุยหน่อย คิดถึงแล้วก็เป็นห่วง ไปอยู่ในแวดวงเสือสิงห์กระทิงแรด ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
นี่แหละ “สหายจันทร์ ควายแดง” ที่ผมรู้จักและประทับใจ
ส.พล เพื่อประชา