Photo by Pichai Pipatkuldilok

ผมรู้จัก “เฒ่าเยิ้ม” นานแค่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว นึกได้ราง ๆ เพียงว่าเมื่อครั้งยังเล็ก พาเพื่อน ๆ มาวิ่งเล่นอยู่ตรงลานบ้านแก หิวก็เด็ดส้มสูกลูกไม้ที่แกปลูกไว้เต็มสวนมากินกัน บางวันหากแกมีเวลาว่างก็จะหุงข้าว ปิ้งปลาให้พวกเรากิน

เฒ่าเยิ้ม เป็นคนแก่ใจดี แกไม่เคยดุด่าเด็ก ๆ เลย แม้บางครั้งแกนอนหลับช่วงกลางวันอยู่ใต้ต้นมะปราง พวกเราวิ่งไล่กันส่งเสียงเอ็ดตะโร แกก็ไม่เคยบ่น ลุกขึ้นมานั่งมองพวกเราด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ

พวกผู้ใหญ่คอยเตือนเด็ก ๆ ว่าให้ระวังกันบ้าง เพราะเฒ่าเยิ้มเป็นคนบ้า กลัวว่าวันร้ายคืนร้ายแกจะทำร้ายเด็ก ๆ แต่เราก็ไม่เห็นว่าแกจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้น มิหนำซ้ำในสายตาเด็ก ๆ เช่นเรากลับมองว่า พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นแหละเป็นคนบ้า มาระแวงผู้เฒ่าใจดีของพวกเราได้อย่างไร

เมื่อแรกเริ่มเกิดหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ว่าเฒ่าเยิ้มมาจากไหน มาถึงก็บุกหักร้างถางพงในพื้นที่ใกล้ ๆ ป่าช้า ซึ่งไม่มีใครสนใจ อยากจะอยู่ตรงนั้น

เมล็ดพืชทุกชนิดที่ถูกทิ้งในหมู่บ้าน แกจะเก็บมาเพาะใส่ถุงไว้ เมื่องอกได้ที่แกก็จะปลูกลงในพื้นที่ของแก จนที่สวนอุดมไปด้วยไม้ป่าไม้ผลสารพัด นานวันเข้าก็เป็นพวกชาวบ้านนั่นเองที่เข้ามาขอซื้อจากแก ในราคาที่ถูก ๆ และปริมาณตามที่ผู้ซื้อพอใจ แกก็ไม่ว่าอะไร ยิ้มรับอย่างเดียว

แกเลี้ยงควายไว้ 2 ตัว ตัวผู้แกเรียกมันว่า “ไอ้ผัว” ส่วนตัวเมียแกเรียก “อีเมีย” ด้วยเหตุผลที่ทุกคนฟังแล้วก็ยากที่จะทำความเข้าใจ แกบอกว่า

“ก็ข้าไม่แน่ใจว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมียนี่หว่า แกจะให้ข้าเที่ยวไปยกหางมันดูรึไง ถึงจะรู้ว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมีย”

“ก็จะไปยากอะไรล่ะตา ควายตามี 2 ตัว ตาก็มองหาไอ้ตัวผู้สิ มองไปตรงช่วงท้องมันก็เห็นแล้ว ไอ้ตัวไหนห้อยก็ตัวผู้ ส่วนอีกตัวมันก็ต้องเป็นตัวเมียอยู่แล้ว”

“แล้วถ้ามันยืนโดนหญ้าบังอยู่จะทำยังไง จะมองตรงไหนมันห้อยวะ”

ดูเอาเถอะ ขนาดเรื่องแบบนี้แกยังคิดมาได้ แต่จนแล้วจนรอดแกก็ไม่เคยเรียกควายของแกผิดสักที จนควายทั้งคู่ถึงวัยเจริญพันธุ์ เรื่องติดสัดก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่เฒ่าเยิ้มก็ทำให้อลเวงทั้งหมู่บ้านจนได้ แกวิ่งหน้าตื่นตะโกนโหวกเหวกเข้ามาในหมู่บ้าน

“ช่วยข้าที ช่วยข้าที!”

“เป็นอะไรล่ะตา วิ่งหน้าตั้งหูชี้มาเนี่ย”

“ช่วยข้าทีเถอะไอ้ทิด ควายข้ามันกำลังทับกัน แต่ข้ามองไม่ชัดว่ะ ไม่รู้ไอ้ผัวมันขึ้นบน หรืออีเมียขึ้นบน ช่วยไปดูให้ข้าทีเถอะ”

“ปั๊ดโธ่!! ตา เรื่องควายทับกัน แกยังเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยเรอะ”

“แกไม่รู้อะไรไอ้ทิด หากไอ้ผัวอยู่ข้างบน มันถึงจะทับติดนะ แต่หากอีเมียอยู่ข้างบน มันจะมีลูกได้ยังไงวะ ดีไม่ดีผิดผีซะอีก ไปช่วยข้าทีเถอะ”

“โว้ย!!!! ไม่บ้าด้วยหรอก โน่นไปแจ้งกำนันโน่นไป๊”

แกไปจริง ๆ ซะด้วย วันนั้นท่าทางกำนันคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงกับแกล้งให้แกเขียนเรื่องราวแจ้งความด้วยตัวเอง วันนั้นเองทุกคนจึงรู้ว่าแกก็มีความรู้พอสมควร ลายมือแกอ่านง่ายแม้จะเขียนตัวโตไปนิด เนื้อความที่แกแจ้งไว้นั้นดังนี้

“นายเยิ้ม ยิ้มแย้ม มาขอแจ้งความกับกำนัน เนื่องจากควายทับกันแต่ไม่แน่ใจว่าตัวอยู่บนเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย จึงมาลงลายมือไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อ นายเยิ้ม ยิ้มแย้ม”

วันนั้น กว่าแกจะกลับไปถึงบ้านสวนของแก ก็ล่วงเข้าบ่ายคล้อย เจอควายทั้งคู่กำลังกินหญ้า โดยไม่มีเหตุการณ์เช่นเมื่อเช้าแล้ว แกก็สบายใจ คงคิดว่าไปแจ้งความแล้ว ต่อไปควายคงไม่ทับกันผิดตัวแน่ ๆ แต่ไม่วายสำทับให้ไอ้ผัวอยู่บน ไม่งั้นจะไปแจ้งความอีก

กิจวัตรประจำวันของแกเริ่มขึ้นเมื่อตีนฟ้ายังไม่เปิด พอไก่เริ่มขัน แกก็จะล้างหน้าล้างตา แล้วเริ่มเดินไปตามพื้นที่สวน โดยไม่พกไฟฉายหรืออุปกรณ์ช่วยส่องแสงแต่อย่างใด เพราะแกเดินถอยหลัง!!!!

เรื่องเดินถอยหลังของเฒ่าเยิ้ม เป็นที่รับรู้ของคนทั้งหมู่บ้าน นี่คืออีกประเด็นหนึ่ง ที่คนส่วนมากลงความเห็นว่าแกเป็น “คนบ้า” แต่แกก็มีเหตุผลที่ทุกคนเถียงไม่ได้

“ข้าศึกษาเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ คนเรามันต้องหัดเดินถอยหลัง เอ็งคิดดู ในที่มืดหากเอ็งไม่มีไฟไปด้วย เอ็งจะเดินเห็นทางมั้ย แล้วพอเราหัดเดินถอยหลัง เราก็มองไม่เห็นทางที่จะเดินไปอยู่ดี แม้เราจะเดินถอยหลัง แต่เราก็ก้าวไปถึงข้างหน้าได้ โดยเป้าหมายไปอยู่ข้างหลัง”

หรือ “คนเรามันคิดจะเดินไปข้างหน้ากันอย่างเดียว ข้าถามจริง ๆ หากเอ็ง เดินหน้าไปเจอหุบเหว เอ็งยังจะเดินไปต่ออีกมั้ย เอ็งก็ต้องหยุดใช่มั้ยล่ะ แต่หากเอ็งหัดเดินถอยหลัง หรือเดินไปข้าง ๆ เอ็งก็ไม่ตกเหวแล้ว”

ผมมาเจอเฒ่าเยิ้มอีก เมื่อครั้งกลับไปเยี่ยมบ้าน รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา จากคำบอกเล่า ทุกอย่างที่เคยทำมาจนเป็นกิจวัตร แกก็ยังทำเช่นนั้นตลอดไป หลังจากเดินถอยหลังจนตีนฟ้าเปิดพอเห็นลายมือตัวเองแล้ว แกก็จะหุงข้าวปิ้งปลาเก็บไว้กิน สาย ๆ ก็ไปนั่งคุยนั่งเล่นกับควาย ซึ่งตอนนี้เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกหลายตัว จนเสียงกลองเพลดังแว่วมาโน่นแหละ อาหารมื้อเช้าของแกจึงเริ่มขึ้น

ผมเคยนั่งมองแกกินข้าว ตักข้าวใส่จานสังกะสีพูน ๆ มานั่งยอง ๆ ยกจานปลาปิ้งมาวาง แล้วแกก็เริ่มบิเป็นลิ้น ๆ เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย จนปลาหมดแล้ว แกจึงกินข้าวตามไป ผมอดสงสัยไม่ได้จึงต้องถาม

“แกไม่รู้อะไรไอ้หนู คนเราจะมากินข้าวพร้อมไปด้วยกับปลาได้ยังไง มันก็เสียรสชาติข้าว รสชาติปลาหมดสิ ต้องกินปลาให้หมดก่อน พอลิ้มรสปลาได้ที่แล้ว ค่อยกินข้าวตามไป จะได้อร่อยทีละอย่างไง”

เออ!! แกก็คิดไปได้ ยอมรับเลย ผมได้แต่ผงกหัวยอมรับเท่านั้นเอง

หลังจากกินข้าวเช้าตอนเพลเสร็จแล้ว แกก็จะเริ่มตักน้ำมารดต้นไม้รอบ ๆ สวนของแก กว่าจะครบทุกต้น เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เวลาเย็นย่ำแล้ว ผมลาแกในช่วงนั้นก่อนที่จะนัดมาเจอกันในวันรุ่งขึ้น

วันนี้หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ผมเดินลัดทุ่งมาหาแก ฟ้าที่แจ้งจางปางอยู่ดี ๆ กลับมืดครึ้มลง แล้วฝนหลงฤดูก็เทลงมาราวฟ้ารั่ว กว่าจะวิ่งไปถึงบ้านเฒ่าเยิ้ม ผมก็เปียกไปทั้งตัว

วันนี้ไม่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของแก คิ้วซ้ายขวาขมวดเข้าหากัน ในมือยังถือบัวรดน้ำ ควันจากยาใบตองของแกเจือกลิ่นหอมฉุนประหลาด ผมนั่งลงข้าง ๆ แก นั่งมองสายฝนที่ยังเทลงมา ไก่พากันหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ควายฝูงนั้นเดินเข้ามาหลบอยู่ใต้ต้นมะม่วงตั้งแต่ฝนเม็ดแรกสาดสายลงมาแล้ว สายตาเฒ่าเยิ้มมองสายฝนนิ่งงัน บางครั้งมีเสียงทำปากจิ๊จ๊ะ

ผ่านไปชั่วหม้อข้าวเดือด ฝนเริ่มซาเม็ดลง จนหยุดในเวลาต่อมา ผมมองเห็นรอยยิ้มเดิม ๆ ประดับใบหน้าของแกแล้ว อดรนทนไม่ไหวก็เลยต้องถามแกหน่อย

“ยิ้มอารมณ์ดีเลยนะตา ทีเมื่อกี๊นี้ ทำหน้ายังกะคนขี้ไม่ออกมาสามวันเจ็ดวัน”

“ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งมันทำให้ข้าแทบแย่นี่หว่า”

“แทบแย่ยังไงล่ะตา ไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แค่วิ่งหนีฝนมาหาตาเท่านั้นเอง อยากมานั่งคุยด้วย”

“ก็เอ็งเอาฝนมาด้วยนี่หว่า”

“ไม่ดีเหรอตา ฝนตกซะบ้างจะได้เย็น ต้นไม้จะได้ไม่ขาดน้ำ”

“ดีกะผีอะไรล่ะ นี่ดีนะว่ามันตกไม่นาน หากตกนานกว่านี้ข้าแย่แน่เลย”

“มันจะแย่ตรงไหนตา เอ้อ แล้วพอฝนหยุดตกผมถึงเห็นว่าตาอารมณ์ดีขึ้น”

“ก็ข้านั่งรออยู่นี่ รอให้ฝนมันหยุดซะที จะได้ไปรดน้ำต้นไม้ นี่เกือบทำเอาไม่ได้รดน้ำเลยเห็นมั้ยล่ะ”

“เอ้อ…”

 ทิดโส โม้ระเบิด