ผมยังจำได้ดีกับเรื่องราวที่มันทำให้ผม 4 คน แป็บ อู๊ดดี้ เป้ง และผมต้องกลับมานั่งถามตัวเองใหม่อีกครั้ง… กับเรื่องราวที่ไม่เข้าใครออกใคร
วันนี้มันเป็นเช้าที่ผมรู้สึกโดดเดี่ยวที่สุดเท่าที่ผมเข้ามาสู่การออกค่ายกับ “ฅนสร้างฝัน” โลกใบเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่มช่างฝันจาก 20 เหลือ 4 คน กับคำตอบของลูกชายที่มีต่อกันและกัน “กูเหนื่อยแล้ว …กูอยากออกมาหายใจบ้าง” ยังก้องในโสตประสาทถึงแม้มันจะเกลื่อนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังไม่สร่างดี ในสภาวะที่ออกจากโลกแห่งจินตนาการในค่ายมาใหม่ ๆ เหล่าน้องใหม่ค่ายอาสาต่างสีหน้าสดชื่นแจ่มใส แต่สำหรับพวกเรายังตกอยู่ในภวังค์ของอาการ “ค่ายแตก” ยังไม่หาย
มันไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งแต่ทุกคนล้วนมีส่วนทำให้มันเกิด ไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครต่อใคร
“พี่ค่ะ ค่ายนี้สนุกจังเลย ค่ายหน้าชวนด้วยนะแล้วเราจะไปข้างพลาซ่าทุกวันเลยค่ะ” น้องใหม่ระล่ำระลักก่อนกลับหอหลังจากอำลาเสร็จสิ้น ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะผมไม่ได้ยินสิ่งที่น้องคนนั้นพูดกับผมเลยแม้แต่น้อย
“พี่ไม่เข้าใจ มันคือรูปแบบเก่า พี่ก็เข้าข้างกัน ไม่ฟังน้องบ้าง เราไม่ได้มาค่ายเพราะอยากมาหรอก” ทุกถ้อยกระทงความมันยิ่งทำให้คนมีแผลอย่างพวกเรา จมดิ่งสู่ความเจ็บปวดมากขึ้น
ทุกวันพุธข้างพลาซ่าเป็นวันนัดหมายเจอกันของฅนสร้างฝันทุกคน ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม แต่ก่อนมันคือบ้านของเรา แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว มันกลายเป็นลานประหารและสนามรบพุ่งทางความคิดระหว่าง พี่ เพื่อนและน้อง เสียงกีตาร์เก่าที่แสนหวาน กลายเป็นเสียงกลองออกศึกที่เกรี้ยวกราวดุดัน
“พวกมึงจะไปร้องเพลงกับน้องที่ข้างพลาซ่าหรือเปล่า” อู๊ดดี้พูดขึ้นลอย ๆ ท่ามกลางเขม่าควันจากเตาไฟที่มีพวกผมสามคนนั่งข้าง ๆ ไม่มีสรรพเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาระหว่างเรา 4 คน มีแต่เสียงปะทุของถ่านไม้ในเตาไฟ ไม่มีใครอยากคิดต่อว่าต่อจากนี้พวกผมจะอยู่ในสถานะไหนดี หรือจะทิ้งมันไว้อย่างนี้ หรือจะยังไง
วันนั้นบ้านป่าแต้ (หอพักของพวกผมที่รอบหอเต็มไปด้วยต้นมะค่าแต้) ดูเงียบเหงาพิลึกเพราะหากย้อนกลับไปไม่นานที่แห่งนี้คือ ศาลาพักใจของหลายชีวิต โรงพยาบาลของใครหลายคน แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว วันนี้มันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันมีแต่เพียงความเงียบเหงาและลมหายใจที่เกือบจะสุดท้ายของคนทั้งสี่คน บนเส้นทางของนักอุดมคติอย่างพวกผม
ปิยะวัฒน์ นามโฮง