เช้าสดใสกลางปี 2538 ผมเดินสะพายย่ามเข้ามหาวิทยาลัย ผมเอาเรื่องการจะทำชมรมค่ายฯ ใน ABAC มาคุยกับเพื่อนที่คณะที่เคยทำกิจกรรมในคณะด้วยกัน ก็คือ ช้าง
ช้าง เป็นคนเก่ง เป็นผู้บทบาทสูงในงานกิจกรรมของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วงหนึ่ง เขาเป็นคนดึงงาน Atom Game ซึ่งเป็นงานแข่งกีฬาของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสถาบัน มาจัดที่ ABAC โดยที่คณะเราเป็นเจ้าภาพร่วม ซึ่งงานก็ออกมาดีทีเดียว แต่ด้วยสไตล์การทำงานแบบช้างที่เป็นคนตรง โผงผาง ถนัดการทำงานคนเดียว จึงทำให้หลังจากนั้นเขาไม่ค่อยกลับไปทำกิจกรรมในคณะอีก แต่เรา 2 คนถือว่าสนิทกันพอสมควร เราเรียนรุ่นเดียวกัน Major เดียวกัน และเขาชอบความคิดเรื่องค่ายฯ ที่ผมเล่าให้ฟัง
ช้างแนะนำหลักการ-ขั้นตอนต่าง ๆ ในเรื่องกิจกรรมใน ABAC ที่ผมไม่รู้เรื่องเลยให้ฟัง แล้วเขาก็พาผมขึ้นไปที่ ตึก Q ชั้น 4 (ศูนย์กิจกรรมและกีฬา) เพื่อไปคุยกับอาจารย์เพชร ที่ช้างรู้จักและสนิทสนมด้วยจากการทำกิจกรรมให้กับคณะ
คำแรกที่อาจารย์ถามผม หลังจากที่ผมเล่าความต้องการสร้างชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทขึ้นใน ABAC ก็คือ “จะทำไปทำไม เรามีชมรม Rotaract อยู่แล้ว การตั้งชมรมขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เหมือนกันขึ้นมาซ้ำกันคงเป็นไปไม่ได้”
นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่รู้ว่าชมรม Rotaract ทำค่ายอาสาฯ ด้วย ผมจึงถามอาจารย์กลับไปตรง ๆ ว่า “ถ้าผมจะทำชมรมค่ายฯ โดยมีวัตถุประสงค์ต่างจากวัตถุประสงค์ของ Rotaract จะได้ไหม”
ความคิดตอนนั้นก็ถามไปโดยไม่ได้มีความคิดลึกซึ้งอะไร เป็นเพียงแต่อาการออกเดินแล้วหยุดไม่ได้ อาจารย์เพชรตอบว่าการสร้างชมรมค่ายฯ ขึ้นใหม่มีเหตุผลและความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ หนึ่ง ถ้านักศึกษาที่ต้องการจะเข้าร่วมกิจกรรมค่ายฯ มีมากมาย ล้นหลาม จนชมรมที่มีอยู่รองรับไม่ไหว และ สอง วัตถุประสงค์ในการทำค่ายฯ ไม่เหมือนกัน
ตอนนั้นชมรมที่มีการออกค่ายฯ ก็มี ชมรม Rotaract, ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ Preserver, บางส่วนของ หน่วยงานส่องทาง, ค่ายอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยของชมรมรังสรรค์ไทย, ค่ายผู้นำของ ชมรมFitness และค่ายสุขภาพของคณะพยาบาล – ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ผมตั้งใจจึงมีความใกล้เคียงทั้งรูปแบบและวัตถุประสงค์กับค่าย Rotaract มากที่สุด
ผมจึงคิดว่าต้องหาความเป็นตัวของตัวเองของค่ายฯ ที่ผมจะทำก่อน แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับ Rotaract เพื่อปรับเปลี่ยน เพื่อให้้เข้ากับหลักการที่อาจารย์บอกไว้ ผมจึงเริ่มต้นด้วยการหาต้นแบบ ที่ที่ผมจะได้เรียนรู้เรื่องการทำค่ายฯ วิธีคิดของคนทำค่ายฯ และปรัชญาของมัน และที่ผมนึกถึงก็คือ ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชมรมที่ สมรักษ์ อยู่นั้นเอง
สมรักษ์ พาผมเข้าไปหารุ่นพี่ที่ทำค่ายฯ หลายคน เช่น พี่ชู ผู้เป็นแม่แบบของเด็กค่ายหอฯ ส่วนใหญ่ เก่ง-กล้า-ฮาเฮ, พี่เจมส์ นายกสโมสรนักศึกษาหอการค้า ที่ต่อมาหันมาทำธุรกิจร้านอาหาร ที่ผมไปเล่นดนตรีให้ด้วย, พี่เจี๊ยบ รุ่นพี่ผมยาว…ที่ต่อมาใกล้ชิดกับค่ายฯ ABAC มากที่สุดคนหนึ่ง, พี่เสก นกเสรี ที่ปัจจุบันยังอยู่เป็นที่ปรึกษาให้น้อง ๆ ทุกคน และยังมีพี่ ๆ อีกหลายคน (ขออภัยที่มิอาจเอ่ยชื่อได้หมด)
เรากับ ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงกลายเป็นพันธมิตรกันเงียบ ๆ ผมได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายหลายอย่างจากค่ายหอฯ ไม่เท่านั้น…การช่วยเหลือในรูปแบบอื่นก็มีมากมาย เช่น การให้ยืมอุปกรณ์ต่างๆ อีกทั้งคำแนะนำในการทำงาน เทคนิคในการทำค่ายฯ โดยไม่รังเกียจว่าเรามาจากต่างสถาบัน ตรงนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจ ผม, สมรักษ์ และ เอ ร่วมกันแต่งเพลง “เรา” ซึ่งต่อมาก็ใช้เป็นเพลงค่ายด้วย
นอกจากนั้น…ผมก็ยังเข้าไปพูดคุยกับชมรมที่ทำงานค่ายฯ ใน ABAC ทุกชมรม ทั้งเล่าให้ฟัง ขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือ ทุกชมรมที่ไปบรรยากาศจะคล้ายๆ กันก็คือ “จะทำทำไม ชมรมที่ออกค่ายมีอยู่แล้ว” “จะทำได้เหรอ” “ตั้งชมรมขึ้นมาก็เป็นการแย่งสมาชิกกันนะสิ”
ทุกครั้งที่เดินออกจากชมรมต่าง ๆ ในสถาบันเดียว ความรู้สึกผมเหมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่โดนคนเยี่ยวรดหน้า… มันไม่มีความมั่นใจ ไม่มีใครสนับสนุน ไม่มีให้ใครคำปรึกษา ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่การคุยกับชมรมค่ายหอฯ สบายใจกว่ากันเยอะเลย
สาย ๆ ของวันหนึ่ง….หลังจากศึกษา เก็บข้อมูล วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละชมรม แต่ละกิจกรรมแล้ว ผมกับช้างเดินขึ้นไปหาอาจารย์ที่ตึก Q ชั้น 4 อีกครั้ง ผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิด รูปแบบชมรมที่ผมจะตั้งให้อาจารย์ฟัง พร้อมขอคำตอบเรื่องการตั้งชมรมค่ายฯ โดยหลักการอาจารย์เห็นด้วยกับการทำกิจกรรมอยู่แล้ว แต่การจะก่อตั้งเป็นชมรมมันมีกฎเกณฑ์ ระเบียบกำหนดอยู่ คือ ต้องตั้งเป็นกลุ่ม 1 ปี และใน 1 ปีนั้น ต้องมีผลงานชัดเจน มีสมาชิกชมรม มีกิจกรรมที่สนองวัตถุประสงค์ได้ จากนั้นจึงสามารถทำเรื่องเป็นชมรมได้ อาจารย์เล่าว่าที่ผ่านมาเคยมีกลุ่มแบบนี้เกิดขึ้นหลายกลุ่มแล้ว แต่ที่ต่อเนื่องไปเปิดชมรมได้มีแค่ 1 กลุ่ม ก็คือ ชมรมลีลาศ
แต่อาจารย์แนะนำอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้กว่าการทำตามระเบียบ ก็คือให้ผมไปขอกับ สโมสรนักศึกษา ให้มาเป็น Back Up ในการทำค่ายก่อน 1 ปี คือออกค่ายในนามของสโมสรนักศึกษา ให้สโมสรนักศึกษาเป็นเจ้าของโครงการ เป็นคนออกเงิน ซึ่งใน 1 ปีถ้าเราสามารถทำค่ายให้ประสบความสำเร็จได้ ในปีต่อมาค่อยทำเรื่องขอเป็นกลุ่มค่ายอาสาพัฒนาชนบท แล้วเสนอเป็นชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทในปีถัดมาอีก ก็เท่ากับว่าใช้เวลาประมาณ 2 ปี
ผมและช้างเห็นด้วย…
เร็วเท่าใจคิด…เรา 2 คนลงลิฟต์จากตึก Q ชั้น 4 แล้วเดินขึ้นไปที่สโมสรนักศึกษาเลยทันที
ระหว่างทางผมคิดถึงบรรยากาศในการไปคุยเรื่องค่ายฯ กับชมรมอื่น คือไม่สนับสนุน ผมกลัวว่าถ้าสโมสรนักศึกษาไม่เอาด้วยจะทำยังไง
พอเปิดประตูเข้าไป เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้คน ๆ หนึ่งในนั้นฟัง (มารู้ตอนหลังว่าเขาคนนั้นอยู่ชมรม Rotaract) โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีตำแหน่งอะไรในสโมสรฯ หรือไม่ แล้วเราก็ได้ยินคำพูดสุด Classic จากชายผู้นั้นอีกครั้ง คือ “จะทำทำไม ชมรมที่ออกค่ายมีอยู่แล้ว Rotaract ไง”
แต่โชคดีครับ เขาไม่มีตำแหน่งแห่งหนโดยตรงกับงานนี้ คนที่มีอำนาจเต็มและเป็นผมต้องคุยด้วยก็คือ ประธานฝ่ายพัฒนาสังคม ชื่อ พี่กิ๊ต เคยเป็นประธานและผู้ก่อตั้งชมรม Preserver ซึ่งตอนนั้นแกไม่อยู่ ผมเลยฝากเรื่องไว้พร้อมกับนัดหมายว่าตอนเย็นๆ จะขึ้นมาหาใหม่ แล้วผมก็ไปเรียน
ระหว่างนั้นผมเซ็งสุด ๆ กับความไร้น้ำใจของนักกิจกรรม ABAC
ทำไมว่ะ!! คนมันคิดจะทำค่าย จะตั้งชมรมค่ายฯ เพื่อสร้างกิจกรรมดี ๆ กับสังคม มันเสียหายตรงไหนว่ะ มันจะมีกี่ชมรมก็ให้ปล่อยให้มันมีไปสิ จะขัดขวาง จะเรื่องมากทำไม คุยกับใครก็ทำหน้าปานว่ากูจะมาจีบแฟนมึงงั้นแหละ เบื่อ!!!
แล้วไอ้เจ้าประธานฝ่ายพัฒนาสังคมที่ชื่อก๊กชื่อกิ๊ตอะไรเนี่ย… ก็คงไม่ต่างกันหรอกเพราะมันสายพันธุ์เดียวกัน แล้วมันก็คงไม่ช่วยเราอีกนั้นแหละ ABAC หนอ ABAC กูย้ายไปเรียนรามดีกว่ามั้ง….
ตกเย็น…หลังเลิกเรียนผมเดินขึ้นไปที่สโมสรนักศึกษาอีกครั้ง แล้ว พี่กิ๊ต ก็อยู่ที่นั้น
“นก กับ ช้าง ใช่ไหม…?”
“ครับผม”
“อืม…เรื่องทำค่ายฯ ใช่ไหม?”
“……………………………………”
แล้วผมก็เล่าเรื่องราวเป็นครั้ง 80 ให้เขาฟัง ด้วยอารมณ์เซ็งๆ และโมโหหน่อยๆ
แล้ว พี่กิ๊ต ก็บอกว่า “อืม…เอาสิ เดี๋ยวพี่ช่วย แต่เรา 2 คนก็เป็นคนจัดงานค่ายฯ เองนะ”
“……………………………………”
ผมกับช้างอึ้งไป 5 วินาที….ทำไมมันง่ายจังว่ะ
“เราลองไปเขียนโครงการมาแล้วกัน มีปัญหาอะไรปรึกษาพี่ได้ เสร็จแล้วเอาโครงการมาคุยกัน”
หลังจากนั้นผมได้คุยกับ พี่กิ๊ต และได้ถามถึงสาเหตุของการเข้ามาช่วยผมวันนั้น ทั้ง ๆ ที่สโมสรนักศึกษาทั้งองค์กร ทั้ง 2 รุ่น ทุกคนคัดค้านการกระทำของพี่กิ๊ตครั้งนั้น แถมยังถูกด่าจากเพื่อน ๆ อีก เหตุผลของพี่เขาก็คือ เขาต้องให้ “โอกาส” คนที่ตั้งใจ ผมถามกลับไปว่าแล้วรู้ได้ไงว่าผมตั้งใจจริง พี่แกก็ว่า “พี่มองตาเรา ดูท่าทางเรา พี่ก็พอรู้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันต้องดูกันต่อไป แต่ถ้าเด็กรุ่นใหม่คิดสร้างสรรค์แต่ไม่สนับสนุน แล้วสังคมจะดีขึ้นได้อย่างไร”
นี่แหละครับ…คนที่ผมอยากให้น้องๆ ทุกคนรู้จักและตระหนักไว้ว่า ไม่มีพี่กิ๊ตวันนั้น ก็ไม่มีชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทในวันนี้
ผมไม่มีรูปพี่กิ๊ตเก็บไว้เลย แต่พี่ยังอยู่ในใจผมตลอด คำสอน คำแนะนำของพี่ทุกคำผมจำได้ดีเสมอ
ขอบคุณมากครับ
อรรณพ นิพิทเมธาวี
พวกเอ็งก็ยังอยู่ในใจพี่นะ ไอ้นก ไอ้ช้าง
แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณพี่อะไรนักหรอก พวกเอ็งดีด้วยตัวเองอยู่แล้วน่ะ
พี่กิ๊ต…หรือ? ประหลาดใจปนดีใจ ที่เห็นข้อความนี้…ครับ แต่กว่าจะมาก็ช้าจังน่ะพี่….
ค่าย ABAC มันล้มไปแล้วครับพี่ ล้มไม่เป็นท่าด้วย
อย่างไรก็ตาม พี่ภูมิใจได้ ค่ายอาสาฯ ABAC 19 ค่าย ได้สร้าง “คน” ขึ้นมามากมาย ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมก็คือ เด็กค่ายฯ ปัจจุบันกลายเป็นกำลังสำคัญขององค์กรภาคประชาสังคมหลายที่ อย่างน้อย 2 องค์กร (มูลนิธิกระจกเงา และ มูลนิธิกองทุนไทย) ยังไม่นับคนที่ไปทำภาคธุรกิจแต่ก็ยังกลับมาร่วมหรือสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมอีกเยอะ กลุ่มรองเท้าแตะ ก็คือหนึ่งในผลพวงตรงนั้น
ผมก็ยังยืนยันเช่นเดิม ตามที่บอกเล่าให้น้องๆ ทุกคนในชมรมฯ ว่า ไม่มีพี่วันนั้น เราก็ไม่มีทางจะมีวันนี้…
เรื่องคือว่าพี่กำลังจะไปร่วมค่ายนึงของน้อง ๆ ชมรม Preservers แล้วน้องคนนึงเค้าได้มาเจอบทความนี้ของเอ็งเข้า ซึ่งเอาไปโพสในบอร์ดชมรมว่าใช่พี่กิ๊ดหรือไม่ พี่ก็อึ้งอยู่เหมือนกันว่า น้องเค้ามาหาได้ยังไง
พี่ดีใจนะที่พวกเอ็งยังนึกถึงพี่อยู่ แม้ว่าเวลามันจะผ่านมานานเท่าไร พี่ยังตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่าตัวตนกรูเป็นยังไง ไม่เคยทิ้งอุดมการณ์หรอก แต่ก็ด้วยเงื่อนไขของชีวิตที่อาจจะทำให้ไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ 100% แต่ก็จะทำได้เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย
อยากรู้ว่าเด็กค่ายของเอ็งที่ทำมูลนิธิกระจกเงาชื่อไรอ่ะ พี่เพิ่งไปเป็นครูอาสากับศูนย์กระจกเงาที่เชียงราย เมื่อต้นเดือน พ.ค.มาน่ะ
พี่ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน ทุก ๆ กลุ่ม ที่มีเจตนาที่ดีต่อสังคม แม้เราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในชั่วข้ามคืน แต่มันก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้ว่ายังมีคนประเภทอย่างเราที่คอยช่วยกันอยู่นะ โชคดีในหนทางของเอ็งนะ แล้วเราคงได้พบกัน
ปล. มีอะไรพี่ยินดีนะ เมล์พี่ก็ตามนี้แหล่ะ
เออ…เอ็งจำพี่กอล์ฟได้มั้ย เพื่อนพี่ที่ชมรม Preservers อ.กอล์ฟน่ะ ที่เคยทำงานอยู่กับ อ.เพชรอยู่พักนึง ตอนนี้แกย้ายมาอยู่เชียงใหม่เหมือนพี่แล้วนะ แล้วเมื่อช่วงหน้าหนาววันส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมามีกลุ่มเพื่อนออฟโรดจากชลบุรีมาเที่ยวกัน เห็นว่ารู้จักสนิทกับนกกับช้างน่ะ พี่จำชื่อไม่ได้แล้วว่ะ คืนนั้นเมา ฮ่า ๆ
– อ.กอล์ฟ จำได้ครับ
– กลุ่มเพื่อนออฟโรด จากชลบุรี คงจะเป็น “เอบ่าย” ละมั้ง