เมื่อประมาณต้นปี 2539 หลังจากที่คาราบาวออกชุด “คาราบาว 15 ปี หากหัวใจยังรักควาย” ผมก็ทราบข่าวว่าคาราบาวจะไปออก 7 สีคอนเสริต์ ผมก็มานั่งนึกว่าเราไม่ได้ดูคาราบาวเล่นครบ 7 คน มานานแล้วนะ ก็เลยชวนเพื่อนรุ่นน้องซึ่งตอนนั้นก็มีอยู่คนเดียวที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อย ๆ ผมก็เลยโทรไปชวน “เฮ้ย! จักร เสาร์นี้ไปดูคาราบาวเล่นที่ 7 สี กัน” ไอ้จักร ก็บอกว่า “คุณตุ๋ยกล้าไปดูเหรอ ไม่กลัวมันตีกันเหรอ” ผมก็บอกไปว่า “มึงอยู่หลังเวที ส.ห. ก็เยอะมึงจะไปกลัวอะไรว่ะ” มันก็ตอบกลับมาว่า “แล้วแต่คุณตุ๋ยแล้วกันครับ วันเสาร์เจอกันครับ”

แล้ววันเสาร์ก็มาถึง ก่อนคาราบาวเล่น 1 ชั่วโมง เรา 2 คน ก็โผล่มาหลังเวที เจอพี่เทียรี่เป็นคนแรก ผมก็เดินไปทักทาย “พี่รี่ สวัสดีครับ” พี่รี่ ก็ตอบกลับมาว่า “อ้าวหวัดดี ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นไงบ้าง แล้วฟังคาราบาวชุดนี้รู้สึกเป็นไงบ้าว แล้วเสียงกีตาร์สายเอ็นออกมาชัดดีไหม” ผมยังอึ้ง โอ้โฮ คำถามออกมาเป็นชุดเลยนะ ผมตอบกลับไปว่า “ออกมาดีครับ ใครเล่นครับ พี่รี่เล่นใช่ไหมครับ” พี่รี่ตอบกลับมาว่า “ใช่ หูดีนี่”

เรายืนคุยกันอยู่สักพักแล้วผมก็ขอตัวไปทักทายพวกพี่ ๆ ทุกคน แล้วผมก็มานั่งทำในสิ่งที่ผมชอบที่สุดในการดูคอนเสริต์คาราบาว นั่นก็คือ นั่งมองแฟนเพลงคาราบาวที่ทยอยกันเข้ามา ที่ชอบเพราะเค้าจะแต่งตัวแปลก ๆ บางคนก็แบกหัวควายมาด้วย บางคนก็เอารูปหรือไม่ก็ผู้ใบเขียนข้อความต่าง ๆ ดูแล้วแปลกตาดี แต่ผมคิดว่าแฟนเพลงคาราบาวทั้งหญิงและชายมีความอดทนเป็นที่ 1 จริง ๆ เพราะสามารถนั่งในที่ร้อน ๆ และคนมาก ๆ ได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะถ้าพวกเขาไม่ชอบคาราบาวจริง ๆ คงทำไม่ได้เป็นแน่

พอได้เวลาคาราบาวเล่น พิธีกรก็แนะนำพวกพี่ๆ คาราบาว เริ่มเพลงแรกด้วยเพลงหลงวัฒน์ ต่อด้วยเพลงอื่น ๆ เป็นชุด ส่วนผมและไอ้จักรก็ยืนอยู่ข้างๆ เวทีด้านล่าง ตอนคาราบาวเล่นก็มีแฟนเพลงตีกันบ้างเป็นสีสัน แต่ก็ไม่รุนแรงอะไร เพราะมี ส.ห. อยู่ด้วย ส.ห. ก็จับออกไปอยู่ด้านนอก

พอใกล้จะจบคอนเสริต์ผมก็มาคุยกับไอ้จักร บอกว่า “เฮ้ยจักร เดี๋ยวจบคอนเสริต์เราขอติดรถตู้ อ.ธนิสร์ ไปลงห้องอัดคาราบาวดีกว่า เพราะมันใกล้บ้านเราดี มึงดูสิคนเยอะจะตายกว่าจะออกไปได้ก็คงนานแน่ ๆ เลยว่ะ”จักร มันมองหน้าแล้วมันก็ตอบกลับมาว่า “คุณตุ๋ยแล้ว อ.ธนิสร์ เค้าจะยอมเหรอ” ผมก็ตอบกลับไปว่า “ยอมสิว่ะ เพราะกูคุยกับพี่ป้อมคนขับรถตู้แล้ว พี่เค้าบอกว่าต้องแวะห้องอัดก่อนที่จะไปเล่นต่อที่ชลบุรีตอนเย็น” จักรตอบกลับมาว่า “แล้วแต่ คุณตุ๋ยครับ” พอคอนเสริต์จบผมก็ลาพวกพี่ๆ แล้วก็มายืนที่รถตู้ อ.ธนิสร์ พออาจารย์มาผม ก็บอกกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับผมขอติดรถไปลงห้องอัดด้วยได้ไหมครับ” อาจารย์ตอบกลับมาว่า “เอาสิ จะลงตรงไหนก็บอกป้อมเค้าเองนะ”

อ.ธนิสร์ก็ขึ้นไปนั่งคู่กับ พี่ป้อม คนขับรถตู้ ผมกับจักรก็ขึ้นมานั่งด้านหลัง พอรถใกล้จะออกพี่รี่ก็วิ่งมาบอกว่าเดี๋ยวอาจารย์ผมไปด้วย แล้วก็เปิดประตูรถขึ้นมานั่งด้านหลัง พอเจอหน้าผม 2 คน พี่รี่ก็ถามว่า “ไปด้วยเหรอ” ผมก็ตอบกลับไปว่า “ครับ”

แล้วรถตู้ก็ออกจากช่อง 7 รถก็แล่นออกไปตามถนนวิภาวดีฯ ผมกับจักรก็นั่งคุยกับพี่รี่ในเรื่องการทำเพลงของคาราบาว แล้ว อ.ธนิสร์ ก็นั่งคุยกับพี่ป้อมคนขับรถ ที่ด้านหน้า พอรถขึ้นทางด่วนดินแดงแล้วก็มาลงบางนาต่อด้วยบางพลี พอถึงบางพลี พี่รี่ก็ขอตัวไปนอนที่ด้านหลังสุดของรถตู้ ผมกับจักรก็เลยมานั่งคุยกันว่า “เฮ้ยจักร รถเขาไม่ได้แวะห้องห้องอัดนี่หว่า สงสัยเค้าจะไปชลบุรีเลยว่ะ เพราะวันนี้ตอนเย็นคาราบาวต้องไปเล่นที่ชลบุรี สงสัยวันนี้เราคงได้ดูคาราบาวเล่น 2 ที่แล้วว่ะ” จักรมันก็ได้แต่ยิ้ม ๆ

พอรถแล่นมาถึงชลบุรี พี่รี่ ก็ลุกมาถามผมว่าถึงไหนแล้ว ผมก็ตอบไปว่าถึงชลบุรีแล้วครับ พอรถผ่านตัวจังหวัดชลบุรีสักพัก ก็ขับรถเลี้ยวเข้าโรงแรมอะไรผมจำชื่อไม่ได้ แต่ก็เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ของจังหวัดชลบุรี พอรถมาถึงหน้าโรงแรมก็มีพนักงานออกมาต้อนรับพร้อมกับบอกว่า ทางผู้จัดคอนเสริต์ที่จังหวัดชลบุรีได้เตรียมห้องพักไว้ให้ทางคาราบาวไว้ 7 ห้อง และถ้าพวกพี่ ๆ หิวก็เชิญที่ห้องอาหารที่ชั้น 1 ก่อน อาจารย์ก็ตอบกลับไปว่า ผมหิว ผมขอกินก่อนแล้วค่อยขึ้นไปอาบน้ำข้างบน พนักงานก็เชิญเราทั้ง 5 คนไปที่ห้องอาหาร พอถึงโต๊ะอาหาร อาจารย์ก็สั่งอาหารไป 6 อย่าง แล้วขอตัวไปห้องน้ำ

รถตู้ของ อ.ธนิสร์ มาถึงชลบุรีเป็นคันแรก จึงมีเราแค่ 5 คน นั่งกินอาหารกันมีอาจารย์นั่งหัวโต๊ะ พี่ป้อมกับพี่รี่นั่งด้วยกัน ผมกับจักรนั่งด้านขวาของอาจารย์ พออาจารย์มาถึงโต๊ะ คำแรกที่ อ.ธนิสร์พูดออกมาก็คือ “เฮ้ย ไหนเรา 2 คนบอกว่าจะขอติดรถไปลงห้องอัดไงล่ะ แล้วทำไมนั่งรถเพลินมาถึงนี่ได้ล่ะ” ผมก็ตอบไปว่า “ก็อาจารย์บอกว่าจะแวะห้องอัดไงครับ ผมไม่เห็นได้แวะเลย ขับยาวถึงชลบุรีเลย ผมก็เลยตกกระไดพลอยโจรมาถึงชลบุรีด้วยเลยครับ”อ.ธนิสร์ตอบกลับมาว่า “เฮ้ยผมไม่ใช่โจร คุณ 2 คน สิที่เป็นโจรนั่งรถผมมาด้วย เดี๋ยวลูกพี่คุณมา ผมจะฟ้องว่าลูกน้องเค้านั่งรถผมมา แล้วผมต้องมาเลี้ยงข้าวทั้ง 2 คนอีก ต้องคิดตังค์แล้ว เท่าไรดี 2 คน คนละ 500 แล้วกัน” พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ อ.ธนิสร์ อยู่แล้ว ลูกพี่ที่ อ.ธนิสร์ พูดถึงก็คือ พี่เขียว คาราบาว นี่เองครับ

พอทานข้าวกันเสร็จ อ.ธนิสร์ พี่รี่ แล้วพี่ป้อมคนขับรถก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ พักผ่อนข้างบนโรงแรมก่อน พร้อมกับหันมาบอกว่าให้ผมไปรอที่เวทีคอนเสริต์ก่อน เดี๋ยว 6 โมงกว่าจะตามไป ซึ่งวันนั้นคาราบาวจะเล่นที่ชลบุรีประมาณ 2 ทุ่ม ผมกับจักรก็เลยนั่งเล่นที่โรงแรมรอเวลาที่พี่ๆ จะลงมา เพราะไม่รู้จะไปที่เวทีก่อนทำไม ร้อนก็ร้อน

พอเวลา 6 โมงครึ่ง อ.ธนิสร์กับพี่รี่ก็ลงมา พอเห็นหน้าผม 2 คน ก็บอกว่า “อ้าว! ยังไม่ไปเหรอ งั้นไปพร้อมกันเลย”

พอไปถึงเวทีคอนเสริต์พี่ป้อมก็ขับรถเข้าด้านหลังเวทีเลย เราทั้งหมดก็เดินลงจากรถ อ.ธนิสร์ กับพี่รี่ก็เดินไปที่เครื่องดนตรี ผมกับจักรก็เดินไปดูแฟนเพลงคาราบาวที่เข้ามารอกันอยู่พอสมควร สักครู่พี่เขียวกับแฟนพี่เขียวก็ขับรถเข้ามา พอลงจากรถเห็นหน้าผมก็ถามว่า “มาได้ไงว่ะ” ผมตอบกลับไปว่า “มารถ อ.ธนิสร์กับพี่รี่ครับ” แล้วพี่เขียวก็ถามว่า “แล้วมานานหรือยัง” ผมตอบกลับไปว่า “ประมาณ 6 โมงกว่าครับ”

พอ อ.ธนิสร์ เห็นผมยืนคุยกับพี่เขียวก็เดินมาอำพี่เขียวเลยว่า “เฮ้ย! เขียววันนี้ลูกน้องคุณติดรถตู้ผมมาจากกรุงเทพฯ แล้วมากินข้าวผมอีกคนละ 2 จาน จ่ายเงินมาซะดี ๆ ผมคิดคนละ 500 บาท จ่ายมาซะดีๆ” พี่เขียวตอบกลับไปว่า ผมไม่รู้เรื่อง ใครเอามาก็รับผิดชอบเอาเอง อ.ธนิสร์ ก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เฮ้ยคุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ลูกน้องคุณนะ” พี่เขียวก็เดินออกไปพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “ไม่รู้เรื่องใครเป็นคนเอามาล่ะ” แล้วก็หันมาบอกผมว่า “เดี๋ยวพี่ไปดูมิกซ์เซอร์ก่อนนะ” ผมก็ตอบว่า “ครับ”

มันเป็นเรื่องที่ชินตาเสียแล้วที่พวกพี่ ๆ คาราบาวมักจะอำกันเล่นเสมอ ๆ ถ้าคนที่ไม่เคยเจอคงคิดว่าพวกพี่ ๆ เค้าคุยกันจริงจังทุก ๆ เรื่อง แต่หารู้ไม่ว่าพี่ ๆ คาราบาวก็มีอารมณ์ขัน

ที่ผมเล่ามาให้ฟังนั้น คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ เอาไว้วันหลังผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครับ ถ้าไม่เบื่อกันเสียก่อน

ตุ๋ย ชมรมฯ