เมื่อสัก 5-6 เดือนก่อนได้มีโอกาสหาที่สงบ ๆ แอบกลับมานั่งพลิกหน้าชีวิตของตนเองในวัย 33 ย่าง 34 ปี บนหน้ากระดาษแห่งมหามวลชีวิตเงียบ ๆ

หวนระลึกถึงการเดินทางไปของตนเองในเส้นทางถนนอันมากมาย ข้ามเขตขอบรั้วระหว่างชนชั้นและยศถาบรรดาศักดิ์ อย่างต่ำช้าและสูงศักดิ์อย่างยากจะถาธิบายใด ๆ ระหว่างการเป็นคนที่ต้องทำงาน กับการเป็นคนที่อยากทำงาน มันแตกต่างและเป็นไปอย่างไร ไร้สาระเพียงไหน เมื่อยกสองเรื่องสองอย่างมาเปรียบเทียบ มันก็มีน้ำหนักต่างกันไป ตามทิศทางและความมีเหตุและผลต่างแตกแยกไกลกัน ชีวิตเดิม ๆของการเริ่มตน ถูกกำหนดบนหน้าเฟรมผ้าใบ ยาวไกลไปตามครรลองยาวนานมากว่า 15 ปี ก่อนตัดสินใจใน 5 นาที เพื่อเดินทางสู่ดินแดนใต้เพื่อเป็นรั้วของชาติ… หากวันนั้นคิดได้คงไม่ตัดสินใจก้าวไปสู่พรมแดนอันมีเกียรติมากมายมหาศาลนั้น…555

มันก็เท่านั้น ชีวิตผกผันและเป็นไปตามสิ่งที่ใฝ่รู้และอยากลอง เมื่อวันนี้ สิ่งที่ต้องการจริง ๆ เดินทางเข้ามาอยู่ตรงหน้า

ผมก็แค่อยากบอกว่า ผมออกมาจากรั้วราชการและการเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินในชุดลายพรางแล้วนะ แต่ก็ใจนั้นก็ยังดำรงความเป็นชาติไทย คนไท ที่มีความรักชาติไม่แพ้ใคร ๆ อยู่เช่นเคย…

ผมลดสายตาลงต่ำ มองไปที่กองเอกสารมากมาย ที่ตนเองกำลังจะเริ่มตนงานใหม่ แต่เหมือนกลิ่นอายเดิม กรุ่น ๆ เก่า ๆ กำลังจะหวนกลับมาที่นี่… ตรงหน้าคือจดหมายและเอกสารมากมายที่เดินทางมาจากทั่วทุกจังหวัดในภาคใต้ เมื่อผมได้เดินทางไปในที่ต่าง ๆ พบเพื่อนฝูง พบน้อง ๆ ที่อยากทำความฝันของตนเองในด้านของงานศิลปะและงานไอเดีย งานเพลง งานเขียน การทำค่าย เพื่อสานฝันนั้น ๆ ของพวกเขา ผมบอกกับพวกเขาว่า “พี่กำลังจะทำหนังสือ หรือไม่ก็นิตยสาร”

ผมบอกพวกเขาออกไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรเคลือบแคลง ไม่มีน้ำเสียงบ่งบอกถึงละคนพูดเล่นในถ้อยคำความ

“พี่ลาออกจากราชการแล้ว” มีบางคนบอกว่าพี่หนีราชการมา ขาดราชการจนเขาปลด บ้างก็ว่าทะเลาะกับนายเรื่องงานหนังสือ เหนื่อยหน่ายกับการย้ายโยกในห้วงเวลาหรือเปล่า หรือลาออกมาหรือว่าเบื่อ แต่ไม่มีใครรู้อะไรเท่ากับตัวของตัวผมเอง

“พี่กำลังจะทำหนังสือ หรือไม่ก็นิตยสาร” เมื่อสิ้นสุดคำตอบ จากที่ต่าง ๆ กันไป หลาย ๆ คนนำเสนอ หลายคนอยากเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการนี้ บางคนเร่งรีบขอพื้นที่ บางคนขออยากให้มีไอ้นั้น มีไอ้เรื่องนี้ มีคนนั้นมามีคนนี้ด้วย แต่นั่นก็ไม่เท่ากับได้มีพื้นที่ให้พวกเขาได้เขียนขีด ได้ระบายความฝันใฝ่อันเลือนรางให้กลับมามีภาพอันชัดเจนขึ้น

ในหนังสือเล่มเล็กที่ตนเองกำลังดำเนินการนี้ แตกต่างจากวารสารหรือหนังสืออื่น ๆ ที่เคยทำมาอย่างสิ้นเชิง อาจจะเหมือนที่คือหนังสือ แต่แตกต่างที่เป็นมากกว่าหนังสือ เพราะมันรวมเอาความฝันใฝ่ ไอเดีย จินตนาการ เรื่องราวบอกเล่า ความทุกข์ ความสุข กลบเกลื่อนคืนวันด้วยเรื่องราวตลกขบขันมากมายของพวกเขา ตั้งแต่เด็ก ๆ ตัวกระเปียกที่ผมเปิดโอกาสให้ จนถึงเด็กหนุ่มสาวน้อยใหญ่ที่จบปริญญา และกำลังใช้หนี้ให้กับบางหน่วยงาน ตามหน้าที่ของตน หรือไม่ก็ผู้ใหญ่ ด้วยนะบางคนที่เขาก็แกเฒ่าจนบอกกับผมและพวกเราว่า เขียนด้วยคนได้ไหมไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที ตายไปเป็นผีก็อยากมีอะไรฝากไว้บ้าง…

ผมเชื่อในสิ่งที่กำลังเห็นและกำลังจะเกิดขึ้นนี้ ผมหวนคิดไปถึงการทำงานในวัยหนุ่ม ต้องถือว่าตอนนั้นห้าวหาญนัก ไม่เกรงกว่าในสิ่งใด ๆ เอาอุดมการณ์อันมากมายเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตและผลักดันตัวเองให้คิดทำอะไรบ้า ๆ รู้สึกว่าวารสารเล่มแรก ๆ ที่ทำขึ้น ในตอนนั้นสักราวปี 2544-2545 นั้น คือวารสาร “โครงการโรงเรียนธรรมชาติ” อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นเป็นแค่คนพิมพ์ต้นฉบับและเป็นผู้ประสานงานด้านศิลปะประจำโครงการโรงเรียนธรรมชาติ มีบทบาทคือนำเสนอไอเดียและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยมี พี่อ๊อฟแอ๊ฟ หรือในนาม ชัชรินทร์ อ่อนราษฎร์ คนอีสานบ้านเดียวกัน เป็นบรรณาธิการ จากวันนั้นนั่นเองที่พี่เขาเป็นต้นแบบและบอกกับผมว่า “เมื่อสู้ทำกิจกรรมจนลงตัว การจะก้าวไปข้างหน้าต้องมีอะไรมากกว่าพูดและทำ คือการนำเสนอเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น…ออกสู่ชุมชน ในรูปแบบของสื่อที่จับต้องได้”

“วารสาร คนช้างป่า” ในนามโครงการป่ายังช้างอยู่คู่คน ของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท มิตซูมิตชิ (มอเตอร์) ประเทศไทย จำกัด เกิดขึ้น เมื่อประมาณปี 2545-46 ผมได้เป็นบรรณาธิการครั้งแรก โดยมี ดร.จำเนียร วรรัตนชัยพันธ์ เป็นหัวหน้าภาคสนามในขณะนั้น การจัดทำวารสาร คนช้างป่า ในครั้งนั้น ทุกขั้นตอนทำในพื้นที่วิจัยจริง ทำในกระท่อม กลางป่าเขาตะเมาะใหญ่ ซึ่งเป็นเครือข่ายเขาเทือกเขาตะนาวศรี อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วิธีการทำคือ ทำมือ เขียนด้วยมือ ภาพทุกภาพล้วนติดกาวข้าว และนำพิมพ์ที่ร้านถ่ายเอกสารเล็ก ข้างสำนักงานภาคสนามของสถาบันฯ ในอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ในขณะนั้น จนถึงเล่มที่ 3 ถึงได้เข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ดำเนินการแทนมือ แต่คงสภาพ การดำเนินการแบบทำมือตามเดิม แต่นั่นก็ถือว่า ดีมากแล้ว เพราะ วารสารเล่ม ๆ เล็ก ๆ ประกอบไปด้วย กระดาษเอ 4 เพลงไม่กี่แผ่นได้เป็นเอกสารประกอบการทำงานของทีมงานและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง ช้างป่า กับเกษตรกรที่รับผลกระทบจากช้างป่าบุกรุกพื้นที่ในขณะนั้น จนกระทั่ง โครงการได้ล้มเลิกไปหลังจากที่ผม (คนนอกพื้นที่) และทีมงานที่ล้วนแต่เป็นเพียงชาวบ้านในพื้นที่ เป็นพราน เป็นหมอยา ได้รับข่าวว่า โครงการหมดสัญญาจากผู้ให้การสนับสนุนแล้ว

“หนังสือพิมพ์มวยนคร” ปลายปี 2547 ผมได้กลับมาทำสื่ออีกครั้ง ครั้งนี้เป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อาจหาญถึงขั้นก่อตั้งเอง ลงทุนเอง จัดทำเอง โดยพิมพ์หนังสือพิมพ์กึ่งวารสาร เล่มเล็ก ๆ ไม่กี่หน้าประกอบ แนะนำนักกีฬามวยในท้องถิ่น และกีฬาอื่น ๆ ได้รับความนิยมอยู่สักสามสี่เดือน ก็เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น “กีฬานคร” เพื่อเปิดกว้างให้กีฬาอื่น ๆ เข้ามามีบทบาทมากกว่าจะเอาเพียงมวย…

กีฬาบ้านเราก็อย่างนั้น ผมเองก็เท่านั้น แต่แปลกที่เมื่อตนเองไปอยู่ที่ไหน ๆ ทำไมต้องคิดทำสื่ออยู่เสมอ ๆ ก็ไม่อาจทราบได้ ช่วงงเวลาห่างไม่ถึง 3 ปี ผมได้มีโอกาสทำหนังสือ สองเล่ม แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ วารสาร คนช้างป่า ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า การอนุรักษ์ ไม่กี่ปีให้หลังหันมาทำ หนังสือเกี่ยวกับหมัด ๆ มวย ๆ …555 นี่ไงครับที่บอกว่ามันคือชีวิต

ปลายปี 2547 ผมตัดสินใจสมัครเข้าไปเป็นทหารพราน และฝึกหนัก เบา เหมือน ๆ เพื่อน ๆ เมื่อว่างก็เอาประสบการณ์ด้านศิลปะของตนเองไปสอนเด็ก ๆ จนได้ก่อตั้งโครงการโรงเรียนร้อยหวันพันธุ์ป่าขึ้นมา ที่ บ้านบางเหรียง หมู่ 3 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง มีเด็กเรียนมาก ถึง 83 คน ในขณะนั้น เมื่อเปิดโรงเรียนไปได้สักพัก ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ออกสื่ออยู่หลายหน ท้ายสุดก็ตัดสินใจทำวารสารอีกครั้ง กลับมาทำวารสารอีกแล้วครับ ครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “วารสารร้อยหวันพันธุ์ป่า” เป็นวารสารเกี่ยวกับเด็ก ๆ เรื่องราวของเด็ก ๆ ความฝัน ความคิด อุดมการณ์ การอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่จะนำของเหลือใช้และทรัพยากรใกล้ตัวนำกลับมาประยุกต์ใหม่ การทำวารสารเล่มนี้เองครับ เป็นเหตุทำให้ผมนำเรื่องราวมากมายนั้น ๆ มารวมเล่มและส่งผลงานชุดรวมเรื่องสั้นขนาดยาว ชื่อ “โลกใบน้อยร้อยหวันพันธุ์ป่า” ส่งเข้าประกวดรางวัลลูกโลกสีเขียว จนเกือบจะได้เข้ารอบสุดท้าย

จากร้อยหวันมาได้สัก 3-4 เดือน ได้เข้ามาอยู่ที่กรมทหารพรานที่ 45 ณ บ้านปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส โดยมีผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 คือ พ.อ.ณรงค์ ชูสังกิจ เป็นผู้การฯ ในขณะนั้น วันหนึ่งผมตัดสินใจเขียนโครงการ การจัดทำวารสารขึ้นมา โดยใช้งบประมาณในการจัดพิมพ์ประมาณ 45,000-65,000 บาท ต่อเดือน ต่อฉบับ (พิมพ์ 1,000 เล่ม) และตัดสินใจนำเสนอโครงนั้นกับท่าน โดยผ่าน พ.ท. ขจรศักดิ์ อินทร์ทอง รองผู้บังคับการหน่วยฯ ในทันทีที่ท่านได้เห็นแผนงานและวัตถุประสงค์ ท่านก็อนุมัติทันทีในค่ำคืนนั้น จนเกิดมี “วารสารคนชายแดน” ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ รวมทั้งหมด 15 เดือน 15 เล่ม แต่เล่มสุดท้าย คือเล่มที่ 15 ไม่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาแจกจ่าย

ตลอดระยะเวลาการจัดทำสื่อ วารสารคนชายแดน ของหน่วยที่แจกจ่ายไปทั่วประเทศนี้เองที่เกิดทำและมีหลาย ๆ อย่างให้ผมมีทั้งความสุข ความสมหวัง น้ำตา หยาดเหงื่อ มากมาย ได้รับทั้งความอนุเคราะห์ และคำด่าตามมามากมาย ทั้งจากนาย ๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ ทหารหาญ ถึงการกล้าทำและการเสีย

มันก็จบลงเช่นเคยครับเพราะความแตกต่างระหว่างกฏเกณฑ์มากมายที่มีกรอบอย่างแยกแยะไม่ออกนั่นเอง ทำให้อิสระทางความคิดในการทำสื่อของผมที่เกี่ยวกับจิตนาการ ผู้คน สังคม มวลชน ความแตกต่างทางชั้นยศและความฝัน มันถูกบีบให้มีขนาดลดลงให้เหลือแต่การเป็นทหารมากกว่าการเป็นคนทำหนังสือ ที่ต้องการการอยากเห็นเด็ก ๆ เยาวชน ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดได้รับข่าวสารต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ที่ ๆ กำลังปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมาโดยผ่านการแจกจ่ายสื่อ ที่จับต้องและอ่านผ่านสายตาได้ให้ทำความเข้าใจได้

วันนี้ผมกลับมานั่งทบทวนครับ เมื่อตัดสินใจทำสื่ออีกครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นการชี้ชะตาของตัวเองครับ และตัดสินใจแล้วว่า เล่มนี้จะไม่สิ้นสุดง่าย ๆ ขอเป็นการทำสื่อหนังสือเล่มสุดท้ายของตนเอง คาดหวังถึงการจัดจำหน่ายเป็นครั้งแรกเช่นกัน เป็นหนังสือเกี่ยวกับการรวบรวมจินตนาการ ความฝัน ไอเดียและเรื่องราวของคนหนุ่มสาว สถานที่ท่องเที่ยวเรื่องราวใหม่ ๆ ทั่วประเทศ ผมหวังว่าจดหมายถึงเพื่อน ๆ ฉบับนี้ จะเป็นสื่ออีกฉบับให้ได้รับรู้ว่า ผมจะกลับมายืนอยู่ในหน้าหนังสืออีกครั้ง ในฐานะของนักเขียนและคนทำหนังสือไปพร้อม ๆ กันนับจากนี้ ทั้งตัวผมเอง คนใกล้ชิดและทีมงานของผม…

ความหวังจึงมีเพียงบางเบา
เมื่อเธอเขาถูกบดเบียดพื้นที่ให้เหลือน้อย
กฎเกณฑ์มากมายบนเส้นบรรทัดกระชับรอย
เพียงเรื่องราวจากภูดอยย่ำย้อนส่งลงทะเล

เป็นเพียงสานส่งต่อให้เป็นสาน
อย่าส่งผ่านความฝันอันหันเห
เพื่อสืบต่อร่องรอยที่เกเร
ให้กลับมากล่อมเหฝันใฝ่ให้เป็นจริง

ก่อคเณศ รุ้งสันเทียะ