เมื่อผมขับรถออกจากบ้านไม่นาน เครื่องเสียงห่วย ๆ ในรถ ก็บังเกิดเสียงเพลงขึ้น…
“ถนนทอดยาว สองเท้าก้าวเดิน เมื่อไกลเกินฝัน ใจมันท้อ
ผู้คนมากมาย วุ่นวายไม่เคยพอ ทำไมหนอต้องดิ้นรนสู้ไป
เมื่อชีวิต ยังมีต้องสู้ต่อ จะไปขอ ใครทำไมมือเท้าดี
สิ่งหนึ่งหนายังมั่นคงอยู่ในใจดวงนี้ ต้องอดทนอย่าไปท้อ”
ผมนัด หนึ่ง น้ำโขง สหายรุ่นน้อง ไว้ที่หน้าหอ ตรงข้ามกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนชื่อดังย่านรามคำแหง ที่ ๆ ผมเคยใช้ชีวิตนิสิต นักศึกษา อยู่หลายปี เรากำลังจะไป จ.แม่ฮ่องสอน บริเวณริมน้ำแม่น้ำสาละวิน ที่เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ผมเพิ่งไปทำค่ายเด็กไร้สัญชาติ ไปพร้อม ๆ กับ ปุ๊ก สาวการบินไทย เพื่อนรัก เพื่อนชัง คนสนิท พร้อมด้วย น้องแนน (XL) สาวน้อยมุ่งมั่น ไฟแรง ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทั้ง IQ และ EQ และ ชาญ หนุ่มสถาปัตถ์ ซึ่ง ณ ตอนนั้น เป็นน้องใหม่สำหรับค่ายอาสา – พวกเรา 4 คน
แต่คราวนี้ ผมกลับไปที่นั้นด้วยเหตุผลที่ต่างกันจากคราวที่แล้วมาก ทั้งสภาพจิตใจ ความรู้สึกก็ต่างไป เพื่อนร่วมทางก็ต่างไป หลาย ๆ อย่างต่างออกไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันเป็นทิศทางที่คลี่คลายมากขึ้น กับการเดินทางบนถนนเส้นเดิม
เมื่อขับรถมาถึง อำเภอแม่สอด (เลี้ยวขวาไปแม่ฮ่องสอน) เรายังมีเวลาว่างก่อนวันนัดหมายอยู่ 1 วัน ผมจึงตัดสินใจเลี้ยวซ้ายขึ้นไปอุ้มผางก่อน เพื่อเยี่ยมเยือน 2 มิตรรุ่นใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องสบาย ๆ นะครับ กับ “ทางลอยฟ้า” อันลือเลื่องของอุ้มผาง 3 ชั่งโมง กับระยะทาง 120 กิโลเมตร แต่เมื่อมิตรภาพนั้นใกล้เท่าใจฝันถึง ระยะทางความลำบาก จึงตกเป็นเรื่องรองลงไปในทันที
หลังจากคืนอันหนาวเหน็บ และวงสุราสนทนา เราค้างคืน ณ บ้านริมลำธาร ผมปลุก หนึ่ง น้ำโขง เมื่อตอนตี 5 และขับรถออกจากอุ้มผาง ต้องใช้เวลากว่า 4-5 ชั่วโมง ชายหนุ่ม 2 คน รถ 1 คัน และเบียร์กว่า 10 กระป๋อง ก็มาถึง “บ้านแม่สามแลบ อำเภอแม่สะเรียง” ท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน
มันเป็นเพราะเหตุผลในการกลับมา “สาละวิน” ครั้งนี้ของผมเอง ที่ทำให้ผมและเพื่อนรุ่นน้อง ไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่า กินเบียร์ เล่นกีตาร์ กับ เล่นกีตาร์ กินเบียร์ งง…ใช่ไหมครับ มันก็แค่ความรู้สึกของคนที่อยากจะชั่งใจตัวเอง ในทุกภาคส่วนของความรู้สึก ทั้งเรื่องค่ายฯ เรื่องเพื่อน เรื่องความรัก และเรื่องความฝัน การตามหาของผมครั้งนี้ มันผสมปนเปเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย นับตั้งแต่ชมรมค่ายเราเลิกไป แต่ความตั้งใจจะมาหาบางสิ่งที่หัวใจมันเรียกร้อง มันก็พาผมมาถึงนี่ อย่างน้อยผมก็มาแล้ว มาตามหัวใจตัวเองอย่างที่เคยเป็นและเคยทำ โดยไม่หวังอะไร
ขากลับ…สัญญาณบางอย่างก็เริ่มชัดเจน ในใจผม
“เมื่อชีวิตเราคือการก้าวเดิน ให้เพลินกับฝัน อย่าหวั่นไหว
ทุ่มเทพลังไปทั้งหัวใจ หากเหนื่อยนักพักกายอย่ารีบเกิน
หากไม่ตายสู้ไปอย่าไหวหวั่น สักวันฝันของเธอจะเป็นจริง
ก้าวตามฝันด้วยใจที่ไม่หยุดนิ่ง ถ้ารักจริง ต้องมั่นคง”
ผมนัด หนึ่ง น้ำโขง สหายรุ่นน้อง ไว้ที่หน้าหอ ตรงข้ามกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนชื่อดังย่านรามคำแหง ที่ ๆ ผมเคยใช้ชีวิตนิสิต นักศึกษา อยู่หลายปี เรากำลังจะไป “เขาหลัก พังงา” ที่ที่เมื่อปลายปีที่แล้ว คลื่นยักษ์ TSUNAMI ได้ทำลายล้างเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง พวกเราหลายคนลงมาทำงานเยียวยาให้เพื่อนร่วมชาติอย่างสุดใจ สุดพลัง ขณะที่บางคนไม่ว่างมา…ติดตัวเอง คราวนี้เรากำลังจะไปช่วยงานรำลึก 1 ปี ที่เกาะยาว
และเป็นธรรมดา ทุกครั้งที่เดินทาง ผมมักจะแวะเยี่ยมเพื่อนตามรายทาง อยู่เสมอๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราแวะหา รุ่ง ตะวันแสงแรก กับ เอ กระจกเงา 2 สหายเก่า ที่ลงมาพักพิงยังถิ่นด้ามขวาน
ความหลังครั้งเก่าของพวกเรามักจะถูกรื้อออกมาพูดถึงมันอยู่เสมอ ๆ ในวงเสวนาของเพื่อนเก่า ซึ่งมันตอกย้ำผมอยู่บ่อย ๆ ว่าครั้งหนึ่งมันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตผม ทั้งงามงดและหดหู่
“ฝัน…ที่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้ อยู่ที่ใจ
ขออย่าหวั่นไหว ด้วยหัวใจ ของตัวเราเอง
ฝัน…อยู่บนนั้น อยู่บนฟ้า ที่แสนไกล
จะขอเก็บมาไว้ ในหัวใจ ด้วยตัวเราเอง”
ด้วยความรู้สึกเช่นนั้น “ไปสู่เธอ” ของกลุ่มรองเท้าแตะ จึงถูกนำไปใส่ในวงเล็บ เป็นดั่งหมายเหตุแห่งชีวิตพวกเรา
มีคนเคยบอกผมว่า “เธอ” ของเค้าหมายถึง “เพื่อนในค่าย” ของผมก็เช่นกัน หากเพียงแต่ว่าผมอยากให้มันหมายรวมถึง “สิ่งต่าง ๆ” ระหว่างนั้นด้วย เพราะบางครั้ง บางที แค่สายลมปะทะหน้า เวลานั่งรถโบก มันก็ทำให้เราอิ่มเอม เช่นเดียวกันมิตรภาพของมิตรสหายเช่นกัน
“ตาข่ายดักฝัน” ของผมไม่ได้ทำงานมานานแล้ว เพราะมัวแต่ดูแลก้อนความฝันของคนอื่น ซึ่งเจ้าตัวปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นคลุมหมดแล้ว เพียงแต่ผมเสียดายมัน จากนี้ไป… ผมไม่อยากพูดเรื่องเก่าอีกแล้ว 10 ปีที่ผ่านมา ผมเรียนรู้มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งเข้าใจมันเดี๋ยวนี้เอง ก็คือ “รางวัลของความฝัน ก็คือความฝันไงละ”
อรรณพ นิพิทเมธาวี
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งเข้าใจมันเดี๋ยวนี้เอง ก็คือ “รางวัลของความฝัน ก็คือความฝันไงละ”
อันเดียวกันกับบทกวีผม เมื่อ 10 ปีก่อน ในคืนที่ปวดร้าวอย่าวสุดแสน จนอยากลาโลกนี้ไป ด้วยวัยเพียง 21 ปี
แต่ประกายหนึ่งที่ให้สติ พร้อมบทกวีสั้น ๆ ว่า “ผมฝันไกล จึงเดินมาหาฝัน แล้ววันนี้ผมพบแล้วว่า ผมจากความฝันมาไกล”
ในความมืด…ที่มืดยิ่งกว่ามืด
ในความเยียบเย็น….ที่หาใดเย็นเท่า
ณ ที่ซึ่งมีใยบาง ๆ แห่งมิตรภาพถักทออยู่
ที่นั่นยังมีความฝัน
เส้นทางเข้าสู่ความฝันแสนยากเย็น
หนามไหน่เกาะเกี่ยวตามรายทาง
หากด้วยหัวใจ…อันเข้มแข็ง
หากด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว
สักวัน….
สักวันหนึ่งเถอะ
เราคงได้พบกัน……เจ้าความฝันผู้ทระนง
ไปละ อิอิอิ
มีบทกวีอันหนึ่งที่เราชอบมาก เขาบอกว่า
“อย่าลืมเลือนเตือนใจให้ใฝ่ฝัน
เพราะหากพลันฝันเฟื่องเปรื่องสลาย
ชีวิตแปรเปลี่ยนไปให้คลับคล้าย
ปีกนกหายพาวิหคตกสู่ดิน”
ครั้งหนึ่งเราเคยฝัน
และวันนี้เราพยายามทำให้ตัวเองเชื่ออยู่เสมอว่า
เรายังมีฝัน และก็จะฝันต่อไป
แม้ ณ เวลานี้ฝันเราคืออะไร… ไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ
อาจจะเพราะฝันนั้นพร่าเลือน
ไปตามเดือนและกาลที่ผันผ่าน หรือเพราะสุดเอื้อม
ก็ไม่แน่ใจ
ที่แน่ใจ คือเรายังเปี่ยมหวัง (ลึก ๆ) ว่า เราฝันไกล จึงเดินมาหาฝัน และความฝันจะเข้ามาใกล้เรามากขึ้น
ความฝันทำให้เรามีหวังและเป็นสุข
แต่เราจะเป็นสุขยิ่งกว่าหากได้ดักความฝันนั้นไว้
มองไปด้วยใจหวัง แต่อย่าทำให้มันมาบั่นกำลังแรงใจ…
ใครใคร่ฝันควรได้ฝันเพราะมันหอม
ใครจะยอมความจริงก็ใจเขา
เราจะลองเปลี่ยนความจริงอย่างใจเรา
โลกใบเก่าแต่เราเห็นต่างมุมกัน
ความฝันเป็นของเราเสมอเพรามันเป็นฝันของเรา ฝันอันล่องลอยหรือล่วงหล่นเพราะคนที่สานฝัน
หากการเป็นคนสานฝันมิจำเป็นต้องใช่ฝันของตนเองเพื่อให้ฝันนั้นได้โบกบินไปกับสายลมอย่างมั่นคง สิ่งนั้นย่อมน่าชื่นชมและอิ่มเอมใจยิ่งนัก
ความฝันอยู่กับเราเสมอ….
คิดถึงความฝัน..
ที่แม้นจะเพียรพยายามเท่าไร
ก็ไม่เคยจะเจอเลย.. แม้สักครั้งเดียว
ทิศทางที่เดิน อนาคตที่ต้องการ เส้นทางที่มองไม่เห็น ท้องฟ้ามืดดำ ความฟัน ความรู้สึก อาการของประเทศมืดมิดขาดไฟส่องทาง
บางทีการที่เราฝัน มันก็ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขดี ไม่ว่ามันจะทำให้เราก้าวถึงฝั่งฝันหรือไม่ อย่างน้อยทุกเส้นทางของความฝันก็จุดประกายชีวิตให้เดินทางตามหา ไม่ว่าปลายทางจะสำเร็จตามจุดประสงค์หรือไม่ก็ตาม : แต่ตอนนี้นอนหลับฝันดีไปก่อนหละกัน 555