สำหรับวงหัวขบวนอย่าง คาราวาน หลังจากอัลบั้มชุด แสดงคอนเสิร์ทฟอร์ยูนิเซฟ ครั้งที่ 1 แล้ว ก็ยังมีผลงานทยอยออกมาอีกหลายชุดคือ บ้านนาสะเทือน , คนตีเหล็ก จากนั้นพวกเขาก็สร้างความแปลกใจด้วยการเปลี่ยนแนวดนตรีครั้งใหญ่จากแนว “อคูสติค” มาเป็นแนว “อีเล็คทริค” (ไฟฟ้า) โดยนักดนตรีมืออาชีพใหม่ ๆ อย่าง ระพินทร์ พุฒิชาติ, อู๊ด ยานาวา และ ชัคกี้ ธัญรัตน์ มาเสริมทีมให้ดนตรีแน่นขึ้น (แต่หัวใจของวงก็ยังอยู่ที่สี่คนเดิมนั้นเอง)

อัลบั้มเพลงที่เขาทดลองใช้เทคโนโลยีมาใส่คือชุด คาราวาน 1985

ตามปกติแล้ว การบันทึกเสียงของฅาราวานจะใช้วิธีอัดแบบพร้อมกันหมดทุกชิ้น เพิ่งมาชุด คนตีเหล็ก และ คาราวาน 1985 นี้เอง ที่เริ่มอัดที่ละไลน์ (ทองกราน ทานา มือโซโลของฅาราวานเล่าให้ผมฟังว่าในชุดคนตีเหล็ก ซึ่งพวกเขาใช้ห้องอัดที่มีอุดม ผูกอารมณ์ เป็นซาวนด์เอนจิเนียควบคุมห้องอัดอยู่นั้น เมื่อกำลังอัดเพลง หนุ่มพเนจร อยู่ในช่วงหัวเพลงที่ต้องมีเสียงรถบรรทุกวิ่งก่อนจะเข้าดนตรีนั้น พวกเขาถึงกับเอาเครื่องอัดไปอัดเสียงรถบรรทุกข้างถนนจริงๆ เลยทีเดียว)

ชุด คาราวาน 1985 พวกเขาทำได้ดี ในระดับที่น่าพอใจ สุรชัย จันทิมาธร ยังเขียนเพลงที่ยอดเยี่ยมของเขาในอัลบั้มนี้ได้อีกหลายเพลง เช่น ดอกไม้ให้คุณ, ฉันเป็นดอกไม้, ปลาไร้วัง, ฮิโรชิมา, หมาไม่มีชื่อ, เมดอินเจแปน และสุรชัย ยังได้นำเรื่องราวในป่าเขาเกี่ยวกับเพื่อนนักรบชาว “ลัวะ” ของเขาที่ถูกยิงเสียชีวิตในสถานการณ์สู้รบในเพลงชื่อ บิน

“บินบินได้ยินไหมเล่า เสียงของเราเรียกหา
บินไป่สู่ห้วงนภา เหนือเมฆาโศกตรม
บินล่องลอยเคลื่อนคล้อยเล่นลม บินชื่นชมให้สมใจบิน

เหนือทะเลแห่งความเจ็บปวด น้ำเลือกแดงหลั่งนอง
เขานาและซังหญ้าฝุ่น เหนือเสียงคนร่ำร้อง
เสียงเพลงจากกองกระดูก นาฬิกาเปื่อยไหล
รถยนต์ซากพังกองก่าย ทั้งเมืองตายฝุ่นดิน
บินเจ้าบินผกผินบินไป ใครหนอใครจักเห็นเจ้าบิน
ยินเหมือนใครกู่ร้องก้องมา ใยน้ำตาข้าไหลร่วงริน

บินบินแผ่นดินร้องเรียก เสียงผองชนเพรียกขาน
ลับลาจวบนิรันดร์กาล นานแสนนานแสนนาน”

ว่ากันถึงจุดเด่นทางการเขียนเพลงของสองนักเพลงเพื่อชีวิตชั้นแนวหน้าอย่าง สุรชัย จันทิมาธร และ ยืนยง โอภากุล แล้วทั้งสองมีจุดเด่นไปคนละอย่าง โดยยากที่จะนำมาเปรียบเที่ยบกันได้ เพราะตามความรู้สึกของผมนั้น งานศิลปะไม่มีถูกหรือผิดเป็นเรื่องของรสนิยมที่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น

ยืนยง นั้นมีความสามารถทางการจับประเด็นของสถานการณ์ต่าง ๆ มาเรียงร้อยเป็นบทเพลงได้อย่างรวดเร็ว เขาเก่งในการหา “ท่อนฮุค” ที่จะเป็นที่ติดหูติดปากคนฟังได้โดยง่าย ส่วน สุรชัย นั้นมีความลุ่มลึกทางภาษาที่งดงาม เขาเป็นผู้เข้าใจในปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างถ่องแท้ มีความจริงต่อเพลงที่ตัวเองเขียนออกมาอย่างถึงที่สุด กล่าวโดยนัยหนึ่งแล้วตัวเขากับเพลงของเขาเป็นหนึ่งอันเดียวกัน

อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมกว้าง ๆ แล้วแฟนเพลงของคาราบาว มักจะเป็นวัยรุ่นยุคใหม่หรือไม่ก็ชาวบ้านทั่วไป ในขณะที่แฟนเพลงฅาราวานส่วนใหญ่จะเป็นปัญญาชน

ช่วงนี้กลุ่มศิลปินเพลงที่โดดเด่นขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้เป็นคนหนุ่มจากโคราชนำทีมโดยครูหนุ่มแห่งโรงเรียนบุญวัฒนา นาม อิศรา อนันตทัศน์ หรือ “สีเผือก” และชื่อวงนี้คือ “คนด่านเกวียน” 

คนด่านเกวียน ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากอัลบั้มชุด “เด็กปั๊ม” แล้วพวกเขายังมีผลงานติดตามอีกหลายชุดเช่น สยามเมืองยิ้ม , ไอ้หิน แต่ดูเหมือนว่าความแรงจะสู้ชุดแรกไม่ได้แม้ว่าคุณภาพจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

มงคล อุทก มือพิณแห่งคาราวานบอกกับผมว่าวงการเพลงเพื่อชีวิตยุคนั้นเป็นยุคทองของ “3 ค.” คือ คาราวาน คาราบาว คนด่านเกวียน

“3 ค.” คาราวาน คาราบาว คนด่านเกวียน

ทั้ง 3 วงนี้จะครองใจวัยรุ่นและนักศึกษาปัญญาชนได้เป็นส่วนใหญ่ (คนด่านเกวียน มีกลุ่มคนฟังกลุ่มเดียวกันกับ คาราบาว) คนด่านเกวียน กับ คาราบาว จะมีลักษณะบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันค่อนข้างมากกล่าวโดยรวมก็คือ ทั้งสองมีหัวเรือใหญ่ทางความคิดในเชิงสังคมฝ่ายละคนหรือสองคนเท่านั้น ทางคาราบาวก็จะมีแกนนำทางความคิด คือ ยืนยง โอภากุล และ ปรีชา ชนะภัย และคนด่านเกวียนก็จะมี สีเผือก และ สมาน แสงทอง ในขณะที่นักดนตรีอื่น ๆ ในวงเพียงแต่ช่วยเติมสีสันทางดนตรีมากกว่า (ผิดกับคาราวานที่ทุกคนในวงมีบทบาทเท่ากัน)

ความนิยมและยอดขายของเพลงเพื่อชีวิตพุ่งสูง ทำให้เพลงในลักษณะนี้กลายเป็นตัวเลือกในเชิงธุรกิจของบรรดานายทุนไปในที่สุดทั้งๆ ที่ย้อนหลังไปเพียงแค่สิบปีก่อน บทเพลงเหล่านี้ยังถือว่าเป็นเพลงต้องห้ามอยู่เลย

วงการธุรกิจเพลงเพื่อชีวิตกลายเป็นสมรภูมิที่ค่ายเทปต่าง ๆ หาวิธีจะแข่งขันกันเพื่อยอดขายที่ดีกว่า มีวงดนตรีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาราวกับดอกเห็นในฤดูฝน ลองไล่เรียงวงใหม่ ๆ ก็คงได้ดังนี้ คันไถ, โคไทย, ประจัญบาน, อินโดจีน, กะท้อน, เล็ก อินทรีย์, คีตาญชลี, อมตะ, ธรรมดา เป็นต้น

ธุรกิจของเพลงประเภทนี้เป็นไปโดยคึกคักเป็นยิ่งนัก ทั้งนี้เนื่องมาจากหัวขบวนอย่าง คาราบาว และ คาราวาน ได้ปูพื้นความนิยมเอาไว้อย่างงดงามนั่นเอง

และหลังจากนั้นไม่นานนัก เกิดอัลบั้มเพลงชุด “ถึงเพื่อน” ของนักดนตรีหนุ่มน้อยชาวหนองคายนาม “พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์” ปรากฏบนแผงเทป

ชูเกียรติ ฉาไธสง