ในสังคมไทย กระแสเพลงเพื่อชีวิตถูกพัฒนา และได้รับการยอมรับจนเป็นแนวดนตรีหลัก ในท่วงทำนองเดียวกับที่เคยปรากฏเพลงลูกทุ่งและเพลงไทยสากล อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดนตรีท้องถิ่นกับภายนอก

คาราวาน ได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบในการใช้ดนตรี เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนพลังของมวลชนในทิศทางเดียวกันกับกระแสทางการเมือง เป็นวิวัฒนาการต่อเนื่องจากยุคแห่งบรมครูที่เขียนเพลงขึ้นจากชีวิต สะท้อนแง่มุมดิบๆ แต่โดดเด่นด้วยท่วงทำนองดนตรีและลีลาของวรรณศิลป์อย่าง คำรณ สัมปุณณานนท์ หรือกระทั่ง ไพบูลย์ บุตรขัน

หน่ออ่อนจากกาลครั้งนั้นกระจัดพลัดพรายและเติบใหญ่ในท่ามกลางกระแสเปิดกว้างของสังคม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่หลายต่อหลายคนยึดแนวเพลงเพื่อชีวิตเป็นเครื่องมือในการเลี้ยงชีพ

ต้องยอมรับว่าสภาวะทางสังคมที่เปิดกว้าง เป็นเสรี ยอมรับและอดทนต่อความแตกต่างในทางความคิดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่งผลให้วงการเพลงเพื่อชีวิตในบ้านเรามีวันนี้ สารัตถะในเพลงและเนื้อหาดนตรีผันแปรไป ลดความกระด้างและรุนแรงลง เพิ่มเนื้อหาทางดนตรีเข้าไปมากขึ้นเช่นเดียวกับความเบิกบานแห่งชีวิต

วันนี้เพลงเพื่อชีวิตของไทยยังไม่อาจพัฒนาก้าวไปมากมายกว่าเมื่อครั้งก่อเกิด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ถือว่าหยุดนิ่งอยู่กับที่จนระคายเยื่อนาสิก

เช่นเดียวกับสภาวะเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย หลายประเทศในเอเชียเกิดสภาพทำนองเดียวกัน และก่อกำเนิดตำนานเพลงเพื่อชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน ขบวนการฮุกบาลาฮับ (The Hukbalahap Movement) เพื่อการขับเคลื่อนทางสังคม ที่เกิดจากการรวมตัวกันระหว่างคอมมิวนิสต์และโซเชียลลิสต์ในฟิลิปปินส์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1940 และ 1950 เคยถูกขนานนามว่า “กองทัพแห่งเสียงเพลง” เนื่องเพราะการใช้เสียงเพลงเพื่อประโยชน์ทั้งในการโฆษณาชวนเชื่อ และในการปลุกเร้าความฮึกหาญยามสู้รบ

หลายปีหลังจากตำนานของขบวนการฮุกบาลาฮับสิ้นสุดลง เฟรดดี้ อากีลาร์ (Freddie Aguilar) เป็นผู้สืบสานกระแสเล็ก ๆ นี้ไว้ให้กับสังคมตากาล็อก เพลงขบถของ เฟรดดี้ แม้ไม่อาจสะเทือนบัลลังก์เผด็จการของ เฟอร์ดินานด์ อี. มาร์คอส (Ferdinand Marcos) แต่สารัตถะที่สื่อถึงความอยุติธรรมของผู้นำผู้นี้ การต่อต้านการปะทะระหว่างมุสลิมและคริสเตียน เรื่อยไปจนถึงการถากถางความยะโสโอหังของมหาอำนาจ กลายเป็นเสียงสะท้อนสำคัญของคนยากที่ไร้พละกำลังทางการเมือง

หลายคนยกให้ เฟรดดี้ อากีลาร์ เป็น “บ็อบ ดิแล่น แห่งดินแดนตากาล็อก”

ภาพที่ประทับอยู่ในใจของปินอยนับล้านก็คือ ภาพเฟรดดี้ ยืนเคียงข้างโลงศพ เบนิโญ “นินอย” อาคิโน่ (Benigno “Ninoy” Aquino) เปล่งอารมณ์ขับขานเพลง “บันยัน โค (Banyan Ko)” (มาตุภูมิแห่งข้าฯ หรือ My Homeland) เพลงเก่าแก่ที่เขียนขึ้นตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1896 สำหรับขบวนการปฏิวัติต่อต้านอำนาจของสเปน ชั่วเวลาข้ามคืน เสียงเพลงมาตุภูมิแห่งข้าฯ ซึมซาบเข้าไปในใจของทุกผู้คน กลายเป็นเพลงประจำขบวนการต่อต้านมาร์คอสไปในพริบตา

Freddie Aguilar

ตำนานการต่อสู้แลเพลงเพื่อชีวิตของผู้คนในติมอร์ตะวันออกก็น่าสนใจอย่างยิ่ง เพลงพื้นบ้านอย่างที่เรียกว่า โฟล์กซอง (Folk Song) คืออาวุธทรงอานุภาพในการต่อต้านการยึดครองของอินโดนีเซีย อำนาจทหารของอินโดนีเซียพลุ่งพล่าน กับกระแสการต่อต้านที่ลุ่มลึก ส่งผลสะเทือนสูงในหมู่ชาวบ้านอย่างมาก ติดตามเล่นงาน บอร์ฮา เด คอสตา (Borja de Costa) คีตกวีพื้นบ้านติมอร์ตะวันออก แกนหลักของกระแสเพื่อชีวิตที่นั่นไม่หยุดหย่อน

ปีคริสต์ศักราช 1975 ทหารอินโดนีเซียประหารชีวิต เด คอสตา ด้วยกระสุนเพียงไม่กี่นัด!

ในสังคมปิดอย่างเช่น “พม่า” การต่อสู้ทางความคิดหนักหน่วงแหลมคมและรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ไม่ไร้ตำนานของเพลงเพื่อชีวิตและดนตรีเพื่อการต่อสู้ในทางการเมือง มันย้อนหลังไปถึงยุคของการต่อต้านจักรวรรดินิยมอังกฤษ ชาวพม่าหลายคนยังจดจำ “นากานี่ (มังกรแดง)” (Nagani หรือ Red Dragon) เสียงเพลงแห่งความภาคภูมิ ทระนงในความเป็นพม่าในครั้งกระนั้นได้ มันถูกขบวนการฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าหยิบยืมมาใช้อยู่ในทุกวันนี้เช่นเดียวกัน

เน วิน (Ne Win) หนึ่งในนายพลยุคนั้นเข้าใจลึกซึ้งถึงอำนาจแห่งเสียงเพลง ในท่วงทำนองเดียวกับที่ ซูฮาร์โต (Suharto) ผู้นำเผด็จการแห่งอินโดนีเซีย เข้าใจ เสียงเพลงในพม่าไม่เพียงแต่ถูกปิดกั้นการหลั่งไหลของความรู้สึกนึกคิด หากยังถูกบิดเบือนเพื่อนำมารับใช้จุดมุ่งหมายทางการเมืองของตนเองอีกด้วย

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ทัศนคติดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปร ดนตรีและเพลงยังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากรัฐบาลทหารพม่า ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองสื่อมวลชน (Press Scrutiny Board – PSB) ที่ประกอบขึ้นจากนายทหารเกษียณอายุ ที่คับแคบ ไร้รสนิยม และบางครั้งไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่าดนตรีมีความหมายอย่างไรต่อชีวิต

“เราไม่สามารถร้องเพลงที่มีคำหลายๆ คำ อย่างเช่น สิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตยอยู่ในเพลงของเรา บางครั้งแม้แต่คำว่ามืด หรือคำว่าห้องที่คับแคบ ยังมีไม่ได้เลย” นักแต่งเพลงในกรุงย่างกุ้งรายหนึ่งระบุ

ฮตู อิ้น ถิ่น (Htoo Ein Thin) เคยออกอัลบั้มเพลงชุดหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ใช้ชื่อว่า “ตำนานแห่งเจ้าสาว (History’s Bride)” อันหมายถึงลำน้ำอิรวดีอันเลื่องลือของพม่า เพลงเอกชื่อเดียวกับอัลบั้มได้รับความนิยมอย่างสูง และแพร่หลายในวงกว้างนานไม่น้อยก่อนที่ทางการจะตระหนักว่า เนื้อหาของเพลงสื่อสารถึงนัยในทางการเมือง

สายเกินไปที่อัลบั้มนี้จะถูกแบน แต่ ฮตู อิ้น ถิ่น ก็ถูกห้ามร้องเพลงนี้ในการแสดงคอนเสิร์ตเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ

บทเรียนจาก ตำนานแห่งเจ้าสาว ส่งผลสะเทือนอย่างสูงต่อวงการเพลง การตรวจสอบเนื้อเพลงและถ้อยคำของคณะกรรมการเซ็นเซอร์ ละเอียดลออเกินความจำเป็น ถึงขณะนี้กว่าเนื้อเพลงแต่ละชุดจะผ่านการพิจารณาออกมาได้ ต้องใช้เวลายาวนานหลายเดือน

ฮตู อิ้น ถิ่น (Htoo Ein Thin)

มุน อาวัง (Mun Awng) นักร้องพม่าที่ลี้ภัยอยู่ในขณะนี้ บอกว่า กระนั้นก็ยังมีหนทางอยู่บ้างที่จะเร่งรัดกระบวนการ และสร้างความเมินเฉยในหมู่กรรมการ โดยอาศัยเงินสองสามพันจ๊าตกับดินเนอร์หรูๆ หลายมื้อ

“พวกเขาคอร์รัปชั่นตลอดเวลาแหละ เพียงแต่ตอนนี้จำนวนเงินมันสูงกว่าเดิมแยะ”

แต่ในทางกลับกัน นักร้องทุกรายถูกบังคับให้ยอมรับการสอดใส่เพลงที่ถูกเรียกขานกันว่า “เพลงสร้างสรรค์” อย่างน้อย 4 เพลงลงในอัลบั้มของพวกเขา มุน อาวัง บอกว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อสำนึกทั้งของศิลปินและของผู้เสพรับพอ ๆ กัน

“ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ เราถูกบังคับให้เขียนมันขึ้นมา”

ในทางหนึ่งมันทำให้ศิลปินพอมีทางรอดสำหรับการดิ้นรน เพื่อสร้างสรรค์งานของตนเอง แต่ในอีกทางหนึ่งมันเป็นการทำลายศิลปินผู้นั้นไป ในตัวอย่างได้ผลชะงัดนักหากพวกเขาไปไกลเกินกว่าที่จะยอมรับได้

ซอ วิน ตุ้ต (Zaw Win Htut) ร็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของพม่า ที่ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ เมื่อไม่นานมานี้เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า มีเงินมากพอที่จะซื้อหา BMW หรือ Mercedes Benz แต่ตระหนักดีว่าผู้ซื้อผลงานของตนเองต้องกระเบียดกระเสียนเพียงใด เพื่อซื้อดนตรีที่เขาสร้างขึ้น จึงเลือกที่จะไปไหนมาไหนกับ Chevy Impala ปี 1963 แทน

ซอ วิน ตุ้ต ถูกร้องขอแกมบังคับให้ทำอัลบั้มชุดหนึ่งขึ้นมา เพลงทั้งหมดเขียนโดย เมียะ ถั่น ซาน (Mya Than San) นายทหารพม่า ทำลายชื่อเสียงของเขาลงอย่างรวดเร็ว ซอ วิน ตุ้ต ไม่กล้าทำอย่างนั้นอีกเลย

ซอ วิน ตุ้ต (Zaw Win Htut)

เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับ สาย ตี เส่ง (Sai Htee Saing) นักร้องเชื้อสายไทยใหญ่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกแนวดนตรีสมัยใหม่ตั้งแต่ยุคสมัย เน วิน เรืองอำนาจ และเป็นนักเขียนเพลงที่ได้ชื่อว่าเซ็นเซอร์ยากที่สุด

เมียะ ถั่น ซาน เป็นคนทำลายความเป็น สาย ตี เส่ง ไปเช่นเดียวกัน!

การดิ้นรนต่อสู้ของนักร้องและนักดนตรีพม่าเกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง กลางทศวรรษ 1980 ขิ่น ฮตู (Khine Htoo) ทำเพลงชื่อ “สงครามและสันติภาพ (War and Peace)” ที่สะท้อนนัยทางการเมืองเต็มเปี่ยมแล้วเสร็จ แต่ไม่เคยผ่านการเซ็นเซอร์ออกมาเป็นแผ่นได้สำเร็จ

กระนั้น เพลง ๆ นี้ก็กลายเป็นเพลงที่ถูกเรียกร้องมากที่สุดในทุก ๆ แห่งที่เขาไปเปิดการแสดงสดถึงขนาด ขิ่น ฮตู ถูกห้ามเปิดคอนเสิร์ตจากทางการในเวลาต่อมา

ความอ่อนไหวของกรรมการเซ็นเซอร์ของพม่านั้นไม่ยากที่จะเข้าใจ หากพิจารณาถึงชื่อเพลง เพาเวอร์ 54 (Power 54) ของ เล เพียว (Lay Phyu) ศิลปินแนวเฮฟวี่เมทัล ชื่อดังจากรัฐฉาน ที่เพียงแค่เฉียดกรายเข้าไปใกล้เคียงกับเลขที่บ้านของ อองซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) ผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญของพม่า ทางการก็ถึงกับยืนกรานให้เขาต้องเปลี่ยนชื่อเพลงสุดท้าย เพลงและอัลบั้มชุดนี้ถูกตัดชื่อออกไปเหลือเพียง “เพาเวอร์ (Power)” เท่านั้นเอง

ปัจจุบันนี้ ศิลปินพม่าส่วนหนึ่งต้องหันมาจัดคอนเสิร์ตหาทุนให้กองทัพ ตัดผมเผ้าให้สั้นเรียบร้อย เคลื่อนไหวด้วยลีลาจำกัดบนเวทีไม่ว่าจังหวะดนตรีจะเร้าใจเพียงใดก็ตาม อีกส่วนหนึ่งเลิกราอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับดนตรีไปโดยสิ้นเชิง

มุน อาวัง (Mun Awng)

มุน อาวัง (Mun Awng) เจ้าของเสียงเพลง “หุ่นไล่กา (Scarecrow)” เพลงติดปากของนิสิตนักศึกษาพม่าที่ถูกแบนโดยสิ้นเชิงจากรัฐบาลทหาร เลือกอีกหนทางหนึ่ง

เขาเลือกที่จะหลีกเร้นออกจากเงื้อมมือควบคุมของเผด็จการ มาใช้ชีวิตอย่างยากเข็ญแต่เสรี เสรีที่จะคิด เสรีที่จะร่ำร้องเนื้อหากังวานสะท้อนชีวิตของผู้คนในสังคมของตนเอง

เพราะเขายังมีชีวิต ไม่ใช่หุ่นไล่กา!

“ตายหรือยังอยู่
ก็อุทิศทั้งชีวิตให้กับชาติบ้านเมือง
ทองวาววาม เงินวะวับ ดาวประดับบนบ่าของฉัน
โอ้ เพื่อนรัก เกียรติศักดิ์และรางวัลใดกันที่จะได้รับ
หัวใจฉันกำลังร่ำไห้
ขณะปากถูกตะกร้อครอบปิดกั้นไม่ให้ฉันเปล่งสัจจะ
ยังมีความจริงที่เสียดแทงนัยน์ตาอยู่ทุกเมื่อ
โอ เพื่อนรัก ฉันเป็นเพียงหุ่นไล่กาในคราบผู้คน
ถึงยังอยู่ต่อไป แต่ไร้ชีวิตแล้ว!!”

เพลงหุ่นไล่กา โดย มุน อาวัง

ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
นสพ. มติชน (27 พฤศจิกายน 2545)
เรียบเรียงใหม่จาก And the Band Played On เขียนโดย Aung Zaw