ค่าย! เริ่มนับหนึ่งมาได้หลายวันแล้ว งานไม่ค่อยเดิน ฝนตกบ่อย จะทำทันไหมนี่…. หน้าที่ใหม่ยากพอดู เริ่มเข้าที่แล้ว , คนน้อยสนุกดี ไม่มีเหงา มีแต่อบอุ่นและสนิทกัน ระบบค่ายฯไม่ค่อยมีด้วย เพราะหัวหน้ายังไม่ค่อยมีระบบระเบียบ , ทุกคนช่วยเหลือกันเพราะคนน้อย – ก็ดี
นับวันค่ายในอุดมคติกับการดำเนินชีวิตในความจริง จะยิ่งห่างกันออกไป สังคมยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ทุกคนมีพันธะให้ต้องผูกพันมากขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่อยู่ในสังคมส่วนใหญ่ , ทำไมเราต้องทำอะไรตามกระแส ทำไมเครื่องคอม ถึงแพงกว่าข้าวสาร ให้คนทั้งโลก ทั้งคนที่จนกับคนรวยมีแอร์ใช้ มีรถขับ มีเงินเยอะ เหมือนกันหมด กับให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้ทุกคนเท่ากันในความไม่มี อยู่กับธรรมชาติ สิ่งไหนจะดีกว่ากันนะ…
กองไฟ กองแรกในค่ายฯ ยามค่ำคืน เริ่มรุกโชน พร้อมความรู้สึกในใจที่เบ่งบาน แสงดาวแต่ละดวงต่างพร้อมใจกัน ช่วยให้ท้องฟ้าไม่มืดมิดซะทีเดียว เสียงจิ้งหรีด จักจั่น ขับกล่อม หวีดบรรเลงเสียงเพลงยามค่ำคืน พร้อมกีตาร์ตัวเดิมก็เปล่งเสียงที่มีพลังพอให้คนคล้อยตามมันได้อย่างง่ายดาย
เครื่องเสียงชั้นดีในเมือง… ก็ไม่อาจสู้กีตาร์เพียงตัวเดียว ตัวเดิมกับกองไปที่ทำให้ค่ำคืนยาวนาน จนเวลาเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงกีตาร์ กองไฟ บทเพลง และเสียงแห่งราตรีเท่านั้นเอง
แต่ค่ายฯ ยังมีสิ่งให้จดจำและค้นหามิใช่แค่เพียงค่ำคืน ชาวบ้าน เพื่อนฝูง วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต เรื่องราวยังมีอีกมากมายเก็บซ่อนไว้… ค่อยค้นหากันต่อไป…
Bank – หน.ฝ่ายสวัสดิการ
โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ
ต. แม่สลอง อ. แม่ฟ้าหลวง จ. เชียงรายวันที่ 22 พฤษภาคม 2546
ถึง พ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อน ๆ
22.07 น. ตอนนี้ผมก็อยู่ที่ ร.ร. บ้านแม่เต๋อ มาได้ 5 วันแล้ว ความรู้สึกเหมือนเร็วมากๆ ค่ายนี้คนค่อนข้างน้อย ผมกับคนอื่น ๆ ก็เลยต้องทำงานเยอะกว่าปกติ เหนื่อยมาก ก็คิดมากด้วยเหมือนกันนะครับ ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้ามาที่นี่ (ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ม.อัสัมชัญ) ผมมาและอาศัยอยู่ตรงนี้ เวลาก็ผ่านไปกว่า 1 ปีแล้ว ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ปะปนกันไป ช่วงนี้ผมรู้สึกคิดถึง (นึกถึง) เพื่อน ๆ ของผมที่ก้าวเข้ามาพร้อมกัน แต่ว่า แต่ละคนก็ค่อย ๆ จากไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป อาจจะ ปัญหาส่วนตัว หรือ ปัญหากับทางบ้าน ช่วงเวลาเพียงแค่ 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อนผมเดินออกไปจากที่นี่ ถึง 3 คน
ล่าสุด…ก่อนผมมาที่นี่ ผมได้รู้ข่าวร้ายที่ว่าเพื่อนสนิทอีกคนของผมจะไม่มาที่นี่ เพราะมีเหตุผลทางด้านความรู้สึก คำปฏิเสธนั้นทำให้ผมช๊อกไปพอสมควร เราได้ติดต่อกันโดยการส่งข้อความทางโทรศัพท์
13/พ.ค./2003 (1.22 น.) : “กูเตรียมเพลงค่ายฯ ไว้ 5 ม้วนไว้รอมึงนะ มึงไม่อยากฟังเหรอ? แม้ว่าใครจะว่ามึงยังไง แต่กูก็ยังยืนข้างมึง…มาเถอะ มาช่วยกัน”
13/พ.ค./2003 (ตี 2 กว่าๆ) : “เรายังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม? ตอนนี้ฝนกำลังตก ข่าวร้ายทำให้กูรู้สึกหดหู่จริงๆ ไม่เป็นไร แต่ว่ากูอยากคุยกับมึงก่อนกูจะไป ช่วยโทรหากูที.. แล้วค่อยเจอกัน”
14/พ.ค./2003 (สายๆ) : “ช่วยส่งเบอร์โทรเพื่อนมึงมาให้กูหน่อย แล้วกูจะบอกเพื่อนมึงว่า กูติดต่อมึงไม่ได้ แต่ถ้าเพื่อนมึงไป กูจะช่วยดูแลเพื่อนมึงให้ดีที่สุด เท่าที่กูทำได้”
14/พ.ค./2003 (บ่ายๆ) : “กูบอกพี่ต้อมว่ามึงจะไม่ไปค่ายฯ นี้ และกูถามว่าเขาโกรธมึงรึเปล่า? พี่เขาตอบว่า ไม่โกรธเลย แต่เขาโกรธตัวเองมากกว่า สบายใจเถอะ ไม่มีใครโกรธมึง”
4 ข้อความข้างหน้า คือ ข้อความที่ผมได้ติดต่อกับเพื่อนผม แต่สุดท้ายที่ได้กลับมา คือ คำตอบที่ผมไม่อยากได้ยิน ผมไม่รู้สึกโกรธเพื่อนเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม……. การจากไปครั้งนี้ของเพื่อนคนนี้ คือ ความเงียบ…เงียบจริง ๆ
ณ เวลานี้ ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ ความรู้สึกที่เขียนลงมามันได้ค่อย ๆ หายไปจนเกือบหมดแล้ว อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมมีความรู้สึกที่ดี มาแทนที่ก็อาจจะใช่ ผมและคนอื่น ๆ สบายดีไม่ต้องเป็นห่วง ดึกแล้ว ผมขอจบแค่นี้ก่อน ถ้ามีเวลาผมจะเขียนมาหาใหม่
รักและคิดถึง
ลูก-น้องพี่-และเพื่อน
เอก – หน.ฝ่ายโครงงาน
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่มืดมิดจริง ๆ ไม่มีแสงจันทร์หรือแม้แต่ดวงดาวที่จะเปล่งแสงให้เห็น ตรงหน้าผมในขณะนี้มีเพียงกองไฟ ที่ให้ทั้งแรงสว่างและความอบอุ่น ในคืนที่หนาวเหน็บเช่นนี้ น่าแปลกที่คืนนี้มันมืดจริง ๆ อาจเป็นเพราะฝนที่เพิ่งผ่านพ้นไป เมฆที่มาบดบังแสงจากสิ่งที่ส่องแสงยามค่ำคืน อย่างเช่นทุกคืนที่ผ่านมา
เออ…ตอนนี้ไฟก็ดับ จึงทำให้ตอนนี้มีแสงสว่างเพียงแค่จากกองไฟและแสงเทียนเล่มนึง ที่ผมใช้เป็นแสงสว่างในการเขียนหมายเหตุฯ นี้ น่าแปลกนะ..ที่กองไฟก็ไม่ได้ให้แสงสว่างเพียงพอในการเขียนหมายเหตุฯ แต่แรงเทียนเพียงเล่มเดียวก็มีแสงเพียงพอ ทั้ง ๆ ที่ไฟจากเทียนก็ไม่ได้ให้ความอบอุ่นอะไรมากนัก มันอาจจะเป็นแค่เพียงเทียนเล่มเดียว แต่ถ้าขาดมันไปเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง และกองไฟ…ถึงแม้ว่ามันจะมีแรงสว่างมากกว่าเทียนหลายเท่า แต่มันคงไม่สว่างพอที่จะทำให้ผมและใครหลาย ๆ คนได้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น จนผมต้องใช้เทียนเป็นแสงหลัก..
*หึ ๆ ๆ … เขียนอะไรไปไม่รู้ ชักจะเริ่มงงตัวเองแล้ว
ตอนมาก่อกองไฟตอนแรก อุตสาห์ไม่ใช้ตัวช่วย (น้ำมันก๊าด) แล้วนะ ก็ใช้เทียนเป็นตัวเริ่ม แน่ะ..เทียนอีกแล้ว จนกองไฟติด แต่ฝนก้อดันมาตกซะนี่ กองไฟก็เลยดับไฟ เพราะความร้อนจากกองไฟที่เพิ่งจุดติดนั้น ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานหยาดฝนที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าได้ แต่ฝนนั้นมันก็ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ชีวิต ทั้งกองไฟและหยาดฝนมันก็มีความสำคัญเหมือน ๆ กัน ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการอะไร
ว่าเรื่องกองไฟต่อ…. หลังจากฝนหยุดแล้ว ผมก็อยากจะมาพึ่งพาความอบอุ่นจากกองไฟ ก็เลยต้องออกมาก่อกองไฟ ทำไงดีล่ะ ฝนก้อเพิ่งหยุด ฝืนก็คงเปียกหมดแล้ว ทำไงดี….อ้อ.. น้ำมันก๊าด ไง..ราด ๆ ไปเดี๋ยวก็คงติด แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก ก็ต้องอาศัยฝืนที่แห้ง ๆ แต่ผมก็ใจร้อนพยายามใช้น้ำมันก๊าดเพื่อให้ไฟมันลุกไว้ก่อน ส่วนว่ามันจะติดเนื้อไม้จริง ๆ รึเปล่า ไม่รู้ ไม่สนใจ ขอแค่ให้มันลุกเป็นไฟให้เห็นก็พอ มันคงเป็นแค่ไฟฉาบฉวย ที่ให้ความร้อนแค่ชั่วครู่ แต่ช่วงเวลาแค่นั้นที่ได้เห็นเปลวไฟลุกขึ้นมา ก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจที่จะหาฝืนใส่เข้าไฟ เพื่อให้ไฟติดฝืนทุกท่อนและช่วยขับไล่ความชื้นให้กับฝืนที่เปียกฝนมา และเมื่อความชื้นในตัวมันหมดไป มันก็จะกลายเป็นฝืนที่ลุกไหม้และทำให้กองไฟลุกโชนต่อไฟเรื่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบกองไฟที่ก่อขึ้นมาโดยใช้น้ำมันก๊าดอยู่ดี มันเหมือนเป็นกองไฟที่ก่อขึ้นมาจากอะไรที่….อืม..มันยังไงดีล่ะ..เอาเป็นว่าผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ผมว่าการก่อกองไฟ น่าจะค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ ดูแลมัน จากไฟที่ติดเศษไม้เพียงเศษเดียว แล้วค่อยๆ เสริมสร้างพลังงานขึ้นมาแล้วก็ลุกลามไปยังเศษไม้ชิ้นอื่น ๆ เมื่อรวมกันก็ทำให้เกิดพลังความร้อนจนทำให้ฝืนกองใหญ่ๆ ลุกไหม้ได้ หึ ๆ …เศษไม้ก็มีพลังเหมือนกันนะ ถ้าเอามารวมกัน
แต่ผมก็ใช้น้ำมันก๊าดเป็นตัวช่วย เพราะคิดว่าเราคงก่อไฟไม่ติด ถ้าไม่มีมันในช่วงเวลาที่มีแต่ความชื้น ไม่มีความมั่นใจ…. เอ..หรืออาจจะเป็นเพราะอยากให้กองไฟติดโดยที่ไม่เลือกวิธีว่าจะทำยังไง ขอให้ไฟติดเป็นพอ ไม่รู้เหมือนกัน แต่กองไฟก็ติดแล้ว ไม่รู้ว่าฝืนอันแรก ๆ ที่ผมราดน้ำมันก๊าดลงไป มันจะยินยอมรึเปล่า ที่จะให้ไฟลุกบนมัน แต่ตอนนี้ไฟก็ติดแล้วด้วยตัวของมันเอง.. ผมก็แค่หาฝืนใส่ลงไปให้กองไฟ กองนี้ ลุกต่อไป ถ้าผมหาฝืนใส่ได้มาก กองไฟก็จะลุกโชน แต่ถ้าฝืนน้อย มันก็อาจแค่เพียงรักษากองไฟไว้ไม่ให้ดับไปเท่านั้นเอง
นี่ก้อค่ำแล้ว…แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ เห็นฟ้ายังคงมืดมิดเหมือนเดิม เทียนก็กำลังจะหมดแต่กองไฟก็ยังลุกต่อไป ยังคงให้ความอบอุ่นแก่ผมที่อยู่ใกล้มัน เทียนใกล้ดับแล้วแต่ผมก็คงจุดมันใหม่ได้ ทุกคนมีเทียนสำหรับแต่ละคน แต่กองไฟก็ยังให้ความอบอุ่นแก่ทุกคน ถ้าพร้อมที่จะเข้ามารับความอบอุ่นจากมัน… เทียนจะดับจริง ๆ แล้ว ก็คงต้องไปนอนดีกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ง่วงเท่าไหร่ ถ้าเทียนดับแล้วก็คงเขียนไม่ได้ (มองไม่เห็น) ตอนนี้ผมก็มีไฟฉายนะ แต่ไม่อยากใช้ เพราะอะไรน่ะเหรอ…. ก็ไม่รู้เหมือนกัน คำตอบก็คงแตกต่างกันไปแต่ละคน แต่สำหรับผมแสงที่มีความร้อนและความอบอุ่น จับต้องได้ มันมีค่ามากกว่าแสงที่ส่องสว่างแต่ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่สิ่งที่อยู่รอบข้างเลย แม้ว่าแสงนั้นมันจะสว่างมากแค่ไหนก็ตาม
***** ก็แค่ความรู้สึกของคนคนนึงที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง*****
คนที่ทำอะไรเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แม้ว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิต สิ่งหนึ่ง ที่ทำอะไรเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่คนที่มีชีวิตเพื่อสังคม แม้จะเป็นเพียงแสงเพียงเล็กน้อย แต่มันก็มีความอบอุ่น และมันก็คงภูมิใจที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่คนอื่นได้ แม้ว่าตัวมันเองจะต้องลุกไหม้ไปก็ตาม บางคนคิดเรื่องอิ่มท้อง แต่บางคนก็คิดเรื่องอิ่มใจ… ก็อุดมการณ์มันกินไม่ได้นี่น่า…
ประธานต้อม
hello@ น้องน้องอาสาทุก ๆ คน…
thanks มาก ๆ ที่ยังสร้างค่ายให้พี่มาระลึกอดีตเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่า คนเปลี่ยน , สถานที่เปลี่ยน แต่บรรยากาศไม่เคยเปลี่ยนเลย (พูดจริง) โดยเฉพาะค่ายนี้ (โคตรสนุกเลย) ไม่เคยรู้เลยว่า คนน้อยยิ่งสนุก รู้สึกว่ายิ่งมากคนก็มากความ แต่ใจจริงก็อยากให้ชมรมมีคนมากกว่านี้นะ จะได้มีคนช่วยทำงานเยอะ ๆ มีเสียงหัวเราะเยอะ ๆ สนุกดี
พี่ก็คิดว่าแต่ละฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตัวเองดีแล้วหล่ะ ไม่มีอะไร perfect ไปซะหมดในโลก (เฟ๊ะ ๆ) ใบนี้หรอก ไม่ต้องไป serious นะ ok.. ถ้าคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ทำใจให้สบาย แล้วถ้ามีโอกาสมาค่ายเรื่อย ๆ พี่ก็จะไม่พลาด sure! เพราะทุกคนในค่ายน่ารักกกก มาก… บางทีพี่ก็มีความคิดคล้ายๆ ออ..นอ (พี่นกของน้อง ๆ) ว่ามาเพื่ออะไร?
*พี่…ก็มาเพื่อทุกอย่างเลย ก็คิดถึงน้อง ๆ , คิดถึงค่ายฯ , คิดถึงกองไฟ , คิดถึงเด็ก ๆ , คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ (มาก ๆ) มันมีความสุขน่ะ (ถ้าไม่มีคงไม่มาหรอก)*
ก็ขอให้น้อง ๆ สู้ต่อไป…. พี่จะเป็นกำลังใจให้ ok?
คนเดิมใจเดิม
เสื้อค่าย รุ่นต้นไผ่ ค่ายฯ 16 เชียงราย ตำบลแม่สลอง (ที่อยู่ของชาวจียยูนานอพยพ) เราก็เลยคิดถึง ลำไผ่ สื่อแบบจีน ๆ แล้วเอาคำพูดอมตะของปราชญ์ชาวกะเหรียง ที่พูดไว้ในประเด็นป่าชุมชน มาดัดแปลง
จุลสารค่าย ฉบับที่ 26
ปลาเป็น-ปลาตาย เล่มที่ 13 ประจำค่ายฯ 16 (เชียงราย)
- เกริ่น : บทบรรณาธิการ
- ข่าวชาวค่ายฯ
- ประวัติ ดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง
- บทความ: เส้นทางสู่วิกฤต : มหาวิทยาลัยกับสังคมไทย โดย สุรชาติ บำรุงสุข
- เรื่องสั้น: ขังเดี่ยว โดย รษฎา ปนาลี
- ซอกแซกโลกกว้าง: ครบกำหนดติดฉลากจีเอ็มโอ แต่ไม่มีสินค้าติดฉลาก โดย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
- การ์ตูน ตา-หลก
- บทความ: แว่นกันแดด กับ หมวกแก๊ป โดย ม้าก้านกล้วย
- อัตชีวประวัติบุคคล: ครูซัน แสงตะวันฉายในดอยมืด
- บทความ: คนกับต้นไม้ โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
- อ้าปาก-กระชากขำ
- แนะนำคณะกรรมการค่ายฯ
- ฝ่ายต่าง ๆ ของชมรมฯ
- กำหนดการในแต่ละวัน
- กฎระเบียบปฏิบัติของค่ายฯ
- เพลงค่ายฯ
- แผนที่ เดินทางไปค่ายฯ
- บทกวี: อำลา โดย อูหมาด นาวารินทร์
ค่ายฯ ที่ 16 จบลงด้วยความอบอุ่น… ผมเองไม่ได้เจอค่ายฯ ที่ลงตัวแบบนี้มานานมาก.. แม้คนจะน้อย แค่ 12 คน งานจะหนัก ฝนจะตก… สุดท้ายทุกอย่างจบลงด้วยรักและศรัทธา…. ดีใจมากครับที่อยู่ตรงนั้น ณ เวลานั้น…
ขอบคุณพี่นกนะคะ ที่ได้ดูรูปสวย ๆ ค่ะ
เก่งจังเลยคะ ทำอาคาร 12 คน เสร็จออกมาเป็นหลังได้สุดยอดมากเลยค่ะ
สุดยอดเลย………………..
ยินดี ….. กับความสำเร็จในครั้งนี้ด้วย นะคะ
ฝากเพลง ….. “เกิดมาพึ่งกัน”
ไว้ ….. เป็นกำลังใจของทุก ๆ คนในค่ายฯ ด้วยนะคะ
….. เกิด เป็นคนอย่าเห็นแก่ตน…..แหละดี
ถึงจะมี ร่ำรวย…..สุขสันต์
จน หรือ มี…..ไม่เป็นที่สำคัญ
แม้รักกัน พึ่ง พา…..อย่าไปตัดไมตรี
….. เกิดมาพึ่งกัน
ผิว พรรณ…..ใช่แบ่งศักดิ์ศรี
วันนี้ เราอยู่ คิดดู…..ให้ดี
ถึงจะจน จะมี…..อย่าไปสร้างเวรกรรม
….. ขืนทำ ชั่วไป…..อาจต้องใช้กรรมเวร
อย่างมงายโลภหลง…..เพราะคงจะเกิดลำเค็ญ
สร้างบุญ…..พระท่านคงเห็น
ร่มเย็น…..พ้นความกังวล
….. ถึงวิบัติขัดสน…..ผลบุญนำให้
ศีลธรรมมั่นใจ…..ไม่ต้องไปกังวล
ถึงจะมีจะจน…..จะเกิดกุศลดลใจ … ฯลฯ
โชคดีค่ะ บ๊ายบายนะคะ
“น้ำตาล”
\[=^-^=]/ ….. \[=^๐^=]/
พอดี Search มาเจอ รัตติกาลในเวปนี้ แล้วลองอ่านดู
ขอแสดงความยินดีที่ทุกคนในกลุ่มสามารถทำได้สำเร็จ ผมนับถือความตั้งใจจริงของทุก ๆ คน อยากขอบคุณจนสุดใจ ที่พวกท่านทุกคนได้ช่วยเหลือคนอื่น
อยากให้มีคนอย่างพวกคุณเยอะ ๆ
ด้วยความนับถือจากใจจริง
“จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาวใช่ว่าราจะจากกันนิรันด์ไป”
ผมไม่ได้จับกีตาร์มานานแล้ว จนกระทั่งได้รับรูปค่าย…..เมื่อคืนเลยจับมาปัดฝุ่นและเห่าหอนซะนานเลย …นั่งเล่นคนเดียว..ไม่มันเลย
ยังอยู่ตรงนี้ที่เดิมไม่ได้หนีหน้าไปไหนเพียงแต่มีเวลาให้กับตัวเองน้อยมากน้อยจนกระทั่งไม่ได้นั่งร้องเพลงคนเดียวมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว…ไม่รู้ทำไม ผมเคยไปค่ายที่มีคนน้อยแต่คุณภาพคับแก้วซึ่งได้ feeling ดีกว่าคนเยอะแต่วุ่นวาย เหนื่อยแต่ก็สนุก รู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งตัดขาดจากแสงสีใช้ชีวิตสมถะ
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ … ถ้ายังมีใจที่จะทำก็ทำไปเถิดถ้าหมดใจอยู่ไปก็เหมือนผีตายซาก
ทำให้นึกถึงคำคมของจุลสาร ” มีแต่ปลาตายที่ไม่ว่ายทวนน้ำ ” …….
พี่น้องครับ……. อีกก้าวที่เราได้เดินทางผ่าน… แม้นว่าอุปสรรค์จะมาบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน…… แต่ด้วยแรงใจจากพวกผ้องที่ส่งแรงใจไปช่วย 12 คน เราก็หาได้ยืนเดียวดายไม่ เดินต่อไปเถิด เพื่อทดแทนคุณของแผ่นดินของเราบ้าง
ยินดีกับทุกๆ คนด้วย
ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี อ่านมาทั้งหมดแล้วก็อิจฉาที่ไม่ได้ไปค่ายนี้
หัวใจมันเต้นแป๊บ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก
ไม่อยากพูดอะไร ดีใจ และซาบซึ้งใจด้วยจริง จริง
ผ่านผุผังเซซังสุดโทรม จะกลับไปเอาใจซ่อมแซม
คิดถึงค่ายจังเลย…ดีใจที่ยังมีค่ายนักศึกษาในสังคมปัจจุบัน
ถึงคุณฟืนที่เปียกฝน
ถ้าคุณคิดถึงค่ายจริง คุณก็ต้องอยากกลับมา แต่ถ้าคุณอยากจะกลับมา คุณก็ต้องพิสูจน์ให้พี่น้องทุกคนได้รู้ว่าคุณอยากกลับมาจริง ๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามที่บริสุทธิ์ใจ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่อยากจะบอกให้คุณรู้ว่าบ้านหลังนี้ยังมีที่ให้คุณนอนเสมอ ถึงแม้จะผุพังไปบ้างแต่มันก็ซ่อมแซมได้ ผมจะไม่ไปรับท่านที่หน้าบ้านแต่จะรอที่ข้างในบ้าน ประตูบ้านท่านเปิดเองได้เพราะท่านคุ้นเคยอยู่เสมอ ๆ ยินดีต้อนรับด้วยความอบอุ่นใจ
น่าไปจังเลย จากคนที่ถูกลืม เลี้ยงค่ายเมื่อไหร่อย่าลืมโทรมาชวนด้วย
พวกเรายินดีต้อนรับการกลับมาของเพื่อนเก่าเสมอ
….มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่ง ดินสอเอ่ยกับยางลบว่า “เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว”
ยางลบจึงถามว่า “ทำไมล่ะ”
ดินสอจึงตอบกลับไปว่า “ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย”
ยางลบจึงเถียงว่า “เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด”
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวย ๆ ที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก มีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ
ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป พอเวลาผ่านไปมันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ มันคิดถึงดินสอจับใจ
ทั้งคู่จึงกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่
คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งทีดี ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิดเท่านั้น
ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำ ดินสอในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดีแต่พอเปลี่ยนไปมันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดี ๆ เท่านั้น ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืมยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องดีตัวมันก็จะสกปรก แต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี หรือ คือการให้อภัยนั่นเอง
ฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ คือ การจำแต่สิ่งดีๆและลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง ….
เราอ่านเรื่องราวทั้งหมดแล้วรู้สึกยินดีด้วยจัง แต่อยากบอกคนที่มีอะไรติดค้างในใจ ….ว่ามิตรภาพของเพื่อนน่าจะเหมือนดินสอกะยางลบนะคะ
คนเรามีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ถือว่าเป็นตำนานใครตำนานมัน เรื่องหลาย ๆ เรื่องเราก็รู้กันดีอยู่ ดังนั้นการตัดสินใจที่จะทำอะไรก็ฟันธงมันไปเลยว่าเราต้องการจะเป็นเช่นไร อย่างไร แล้วเราจะเชื่อมั่นและไม่หย่อนยานกับมัน แล้วเราจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราตัดสินใจอย่างดีที่สุดแล้ว…ในวันนี้
….หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สู้ต่อไป…
ไม่รู้ว่าไปยังไงมายังไงถึงกลับมาเปิดรูปค่ายนี้อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เปิดดูจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว……….ค่อย ๆ ดูไล่ลงไปทีละรูป ทีละรูป รู้สึกคิดถึงทุก ๆ คน บรรยากาศ หรืออะไรก็ตามที่เป็น “ค่าย” พอดูไปเรื่อย ๆ จนหมด ………….ถึงได้รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมา………………………….อีกครั้ง
หัวหน้าเอกขี้เเงจัง เจ๊เองก็เหงา ๆ เลยมานั่งดูรูปเก่า ๆ คิดถึงเพื่อน,บรรยากาศดี ๆ ที่อยู่ตรงนั้นจัง กองไฟที่อบอุ่นกองนั้น เพื่อนกลุ่มเดิมที่นั่งจับกลุ่มร้องเพลงเดิม ๆ อยู่ใกล้ชะง่อนผา เด็ก ๆ ชาวเขาที่มาเต้นระบํา ร้องเพลงเผ่า ให้พวกเราดูกัน พี่ ๆ men in black กับชาวบ้านมาช้วยกันทํางาน เเล้วตอนรอเวลากินข้าวพร้อม ๆ กัน มันดูอบอุ่นเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันเลย เพราะงั้นถึงอยากกินข้าวพร้อม ๆ กัน จะได้นึกถึงค่าย นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2546 ได้มีโอกาสไปหา พี่เชิด พี่ชายใจดีที่ช่วยเหลือเราตอนไปออกค่ายที่แม่สลอง แกมากรุงเทพฯ เลยนัดเราไปกินข้าว กินเบียร์ สนุกสนานทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้หายไปจากการทำค่ายฯ ของพวกเรา คือ มิตรภาพจากชาวบ้าน จากคนในพื้นที่ หลาย ๆ ครั้งเราสนุกสนานกันเองในค่ายฯ โดยลืมชาวบ้าน ลืมประชาชนไว้ข้างหลัง… นี่คือปรัชญาที่สำคัญมากอีกอย่างที่กรรมการค่ายฯ ทุกรุ่นต้องถือเป็นสำคัญ แม้เราจะยังทำได้ไม่ดี ก็ยังต้องพยายามต่อไป
พี่เชิดก็ยังเป็นคนเดิมเหมือนที่คิดเอาไว้ ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ได้เกิดมานานแล้ว ได้เจอคราวนี้เป็นการย้ำเตือนผมในอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน
คิดถึงเหมือนกัน….ถ้าพี่ได้อ่าน….นะพี่เชิด…..
คราวหน้า…โทรบอกล่วงหน้าด้วยนะพี่
บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองลืมความรู้สึกเก่า ๆ บางอย่างไป ก็ต้องมาทบทวนบรรยากาศเก่า ๆ ซะหน่อย
กองไฟกองนี้มันจะเป็นยังไงต่อไปน้อ… อยากให้มันสร้างความอบอุ่นให้กับคนอื่น ๆ บ้างไม่เฉพาะแค่พวกเราที่นั่งล้อมวงกันอยู่ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเป็นฟืนที่เปียกน้ำ (ตา) เหมือนกัน หึหึ … คงต้องกลิ้งไปใกล้ ๆ กองไฟหน่อยแล้ว
พี่เชิดไม่เคยลืมพวกเรา ชาวบ้านทุกคนในค่ายทุกค่ายก็ไม่เคยลืมพวกเรา…
มีแต่พวกเรานั้นแหละที่ลืมเขา…
ขอกลับมาเติมบางอย่างให้ตัวเองหน่อย ค่ายนี้มันเป็นค่ายที่รู้สึกเศร้านานจริง ๆ ให้ตายเหอะ น้ำตาคลอเบ้าอีกแล้ว
ภาพค่ายฯ ไม่เคยลบไปจากใจเลย แต่ภารกิจปัจจุบันมันได้ทำหน้าที่เป็นข้อแก้ตัวที่ดีเลยล่ะ ที่ทำให้เราลืมคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับชาวค่ายฯ ลืมหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้ ขอโทษ…
ขอบคุณแทนเด็กนักเรียนทุกคนด้วยความจริงใจ (ขอโทษที่ติดเรียนไม่ได้มาส่งชาวค่าย)
ครูใหญ่โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ
คิดถึงโรงเรียน คิดถึงเด็กนักเรียน และคิดถึงอาจารย์โยธินด้วยครับ ผมเห็นหมู่บ้านจากทีวี ในละครเรื่องแม่ฟ้าหลวง ผมจำได้ ทำให้ผมคิดถึงบรรยากาศในช่วงชีวิตเวลานั้นมากขึ้น มีโอกาสจะไปเยี่ยมครับ….หนึ่ง หัวหน้าประชาสัมพันธ์ ค่าย 16 แม่สลอง
คิดถึงด้วย
หันหลังกลับมามอง รู้สึกได้เลยว่าพวกเราเคยสู้เพื่ออะไร…บางอย่างที่เราเสียไป….
มันไม่เคยหายไปจากความทรงจำของเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมเลย…..
ปล. ตอนนี้เป็นเด็กวันนี้…ไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนแล้ว อิ อิ
“ยินดีกับความสำเร็จในการทำค่ายครั้งนี้ด้วย ค่ายอาสาฯ จงมีต่อไป”