รวมพลคนค่าย 16 โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย (17 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2546)

ค่าย! เริ่มนับหนึ่งมาได้หลายวันแล้ว งานไม่ค่อยเดิน ฝนตกบ่อย จะทำทันไหมนี่…. หน้าที่ใหม่ยากพอดู เริ่มเข้าที่แล้ว , คนน้อยสนุกดี ไม่มีเหงา มีแต่อบอุ่นและสนิทกัน ระบบค่ายฯไม่ค่อยมีด้วย เพราะหัวหน้ายังไม่ค่อยมีระบบระเบียบ , ทุกคนช่วยเหลือกันเพราะคนน้อย – ก็ดี

นับวันค่ายในอุดมคติกับการดำเนินชีวิตในความจริง จะยิ่งห่างกันออกไป สังคมยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ทุกคนมีพันธะให้ต้องผูกพันมากขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่อยู่ในสังคมส่วนใหญ่ , ทำไมเราต้องทำอะไรตามกระแส ทำไมเครื่องคอม ถึงแพงกว่าข้าวสาร ให้คนทั้งโลก ทั้งคนที่จนกับคนรวยมีแอร์ใช้ มีรถขับ มีเงินเยอะ เหมือนกันหมด กับให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้ทุกคนเท่ากันในความไม่มี อยู่กับธรรมชาติ สิ่งไหนจะดีกว่ากันนะ…

กองไฟ กองแรกในค่ายฯ ยามค่ำคืน เริ่มรุกโชน พร้อมความรู้สึกในใจที่เบ่งบาน แสงดาวแต่ละดวงต่างพร้อมใจกัน ช่วยให้ท้องฟ้าไม่มืดมิดซะทีเดียว เสียงจิ้งหรีด จักจั่น ขับกล่อม หวีดบรรเลงเสียงเพลงยามค่ำคืน พร้อมกีตาร์ตัวเดิมก็เปล่งเสียงที่มีพลังพอให้คนคล้อยตามมันได้อย่างง่ายดาย

เครื่องเสียงชั้นดีในเมือง… ก็ไม่อาจสู้กีตาร์เพียงตัวเดียว ตัวเดิมกับกองไปที่ทำให้ค่ำคืนยาวนาน จนเวลาเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงกีตาร์ กองไฟ บทเพลง และเสียงแห่งราตรีเท่านั้นเอง

แต่ค่ายฯ ยังมีสิ่งให้จดจำและค้นหามิใช่แค่เพียงค่ำคืน ชาวบ้าน เพื่อนฝูง วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต เรื่องราวยังมีอีกมากมายเก็บซ่อนไว้… ค่อยค้นหากันต่อไป…

Bank – หน.ฝ่ายสวัสดิการ

โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ
ต. แม่สลอง อ. แม่ฟ้าหลวง จ. เชียงรายวันที่ 22 พฤษภาคม 2546

ถึง พ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อน ๆ

22.07 น. ตอนนี้ผมก็อยู่ที่ ร.ร. บ้านแม่เต๋อ มาได้ 5 วันแล้ว ความรู้สึกเหมือนเร็วมากๆ ค่ายนี้คนค่อนข้างน้อย ผมกับคนอื่น ๆ ก็เลยต้องทำงานเยอะกว่าปกติ เหนื่อยมาก ก็คิดมากด้วยเหมือนกันนะครับ ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้ามาที่นี่ (ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ม.อัสัมชัญ) ผมมาและอาศัยอยู่ตรงนี้ เวลาก็ผ่านไปกว่า 1 ปีแล้ว ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ปะปนกันไป ช่วงนี้ผมรู้สึกคิดถึง (นึกถึง) เพื่อน ๆ ของผมที่ก้าวเข้ามาพร้อมกัน แต่ว่า แต่ละคนก็ค่อย ๆ จากไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป อาจจะ ปัญหาส่วนตัว หรือ ปัญหากับทางบ้าน ช่วงเวลาเพียงแค่ 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อนผมเดินออกไปจากที่นี่ ถึง 3 คน

ล่าสุด…ก่อนผมมาที่นี่ ผมได้รู้ข่าวร้ายที่ว่าเพื่อนสนิทอีกคนของผมจะไม่มาที่นี่ เพราะมีเหตุผลทางด้านความรู้สึก คำปฏิเสธนั้นทำให้ผมช๊อกไปพอสมควร เราได้ติดต่อกันโดยการส่งข้อความทางโทรศัพท์

13/พ.ค./2003 (1.22 น.) : “กูเตรียมเพลงค่ายฯ ไว้ 5 ม้วนไว้รอมึงนะ มึงไม่อยากฟังเหรอ? แม้ว่าใครจะว่ามึงยังไง แต่กูก็ยังยืนข้างมึง…มาเถอะ มาช่วยกัน”

13/พ.ค./2003 (ตี 2 กว่าๆ) : “เรายังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม? ตอนนี้ฝนกำลังตก ข่าวร้ายทำให้กูรู้สึกหดหู่จริงๆ ไม่เป็นไร แต่ว่ากูอยากคุยกับมึงก่อนกูจะไป ช่วยโทรหากูที.. แล้วค่อยเจอกัน”

14/พ.ค./2003 (สายๆ) : “ช่วยส่งเบอร์โทรเพื่อนมึงมาให้กูหน่อย แล้วกูจะบอกเพื่อนมึงว่า กูติดต่อมึงไม่ได้ แต่ถ้าเพื่อนมึงไป กูจะช่วยดูแลเพื่อนมึงให้ดีที่สุด เท่าที่กูทำได้”

14/พ.ค./2003 (บ่ายๆ) : “กูบอกพี่ต้อมว่ามึงจะไม่ไปค่ายฯ นี้ และกูถามว่าเขาโกรธมึงรึเปล่า? พี่เขาตอบว่า ไม่โกรธเลย แต่เขาโกรธตัวเองมากกว่า สบายใจเถอะ ไม่มีใครโกรธมึง”

4 ข้อความข้างหน้า คือ ข้อความที่ผมได้ติดต่อกับเพื่อนผม แต่สุดท้ายที่ได้กลับมา คือ คำตอบที่ผมไม่อยากได้ยิน ผมไม่รู้สึกโกรธเพื่อนเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม……. การจากไปครั้งนี้ของเพื่อนคนนี้ คือ ความเงียบ…เงียบจริง ๆ

ณ เวลานี้ ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ ความรู้สึกที่เขียนลงมามันได้ค่อย ๆ หายไปจนเกือบหมดแล้ว อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมมีความรู้สึกที่ดี มาแทนที่ก็อาจจะใช่ ผมและคนอื่น ๆ สบายดีไม่ต้องเป็นห่วง ดึกแล้ว ผมขอจบแค่นี้ก่อน ถ้ามีเวลาผมจะเขียนมาหาใหม่

รักและคิดถึง
ลูก-น้องพี่-และเพื่อน

เอก – หน.ฝ่ายโครงงาน

คืนนี้ช่างเป็นคืนที่มืดมิดจริง ๆ ไม่มีแสงจันทร์หรือแม้แต่ดวงดาวที่จะเปล่งแสงให้เห็น ตรงหน้าผมในขณะนี้มีเพียงกองไฟ ที่ให้ทั้งแรงสว่างและความอบอุ่น ในคืนที่หนาวเหน็บเช่นนี้ น่าแปลกที่คืนนี้มันมืดจริง ๆ อาจเป็นเพราะฝนที่เพิ่งผ่านพ้นไป เมฆที่มาบดบังแสงจากสิ่งที่ส่องแสงยามค่ำคืน อย่างเช่นทุกคืนที่ผ่านมา

เออ…ตอนนี้ไฟก็ดับ จึงทำให้ตอนนี้มีแสงสว่างเพียงแค่จากกองไฟและแสงเทียนเล่มนึง ที่ผมใช้เป็นแสงสว่างในการเขียนหมายเหตุฯ นี้ น่าแปลกนะ..ที่กองไฟก็ไม่ได้ให้แสงสว่างเพียงพอในการเขียนหมายเหตุฯ แต่แรงเทียนเพียงเล่มเดียวก็มีแสงเพียงพอ ทั้ง ๆ ที่ไฟจากเทียนก็ไม่ได้ให้ความอบอุ่นอะไรมากนัก มันอาจจะเป็นแค่เพียงเทียนเล่มเดียว แต่ถ้าขาดมันไปเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง และกองไฟ…ถึงแม้ว่ามันจะมีแรงสว่างมากกว่าเทียนหลายเท่า แต่มันคงไม่สว่างพอที่จะทำให้ผมและใครหลาย ๆ คนได้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น จนผมต้องใช้เทียนเป็นแสงหลัก..

*หึ ๆ ๆ … เขียนอะไรไปไม่รู้ ชักจะเริ่มงงตัวเองแล้ว

ตอนมาก่อกองไฟตอนแรก อุตสาห์ไม่ใช้ตัวช่วย (น้ำมันก๊าด) แล้วนะ ก็ใช้เทียนเป็นตัวเริ่ม แน่ะ..เทียนอีกแล้ว จนกองไฟติด แต่ฝนก้อดันมาตกซะนี่ กองไฟก็เลยดับไฟ เพราะความร้อนจากกองไฟที่เพิ่งจุดติดนั้น ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานหยาดฝนที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าได้ แต่ฝนนั้นมันก็ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ชีวิต ทั้งกองไฟและหยาดฝนมันก็มีความสำคัญเหมือน ๆ กัน ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการอะไร

ว่าเรื่องกองไฟต่อ…. หลังจากฝนหยุดแล้ว ผมก็อยากจะมาพึ่งพาความอบอุ่นจากกองไฟ ก็เลยต้องออกมาก่อกองไฟ ทำไงดีล่ะ ฝนก้อเพิ่งหยุด ฝืนก็คงเปียกหมดแล้ว ทำไงดี….อ้อ.. น้ำมันก๊าด ไง..ราด ๆ ไปเดี๋ยวก็คงติด แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก ก็ต้องอาศัยฝืนที่แห้ง ๆ แต่ผมก็ใจร้อนพยายามใช้น้ำมันก๊าดเพื่อให้ไฟมันลุกไว้ก่อน ส่วนว่ามันจะติดเนื้อไม้จริง ๆ รึเปล่า ไม่รู้ ไม่สนใจ ขอแค่ให้มันลุกเป็นไฟให้เห็นก็พอ มันคงเป็นแค่ไฟฉาบฉวย ที่ให้ความร้อนแค่ชั่วครู่ แต่ช่วงเวลาแค่นั้นที่ได้เห็นเปลวไฟลุกขึ้นมา ก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจที่จะหาฝืนใส่เข้าไฟ เพื่อให้ไฟติดฝืนทุกท่อนและช่วยขับไล่ความชื้นให้กับฝืนที่เปียกฝนมา และเมื่อความชื้นในตัวมันหมดไป มันก็จะกลายเป็นฝืนที่ลุกไหม้และทำให้กองไฟลุกโชนต่อไฟเรื่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบกองไฟที่ก่อขึ้นมาโดยใช้น้ำมันก๊าดอยู่ดี มันเหมือนเป็นกองไฟที่ก่อขึ้นมาจากอะไรที่….อืม..มันยังไงดีล่ะ..เอาเป็นว่าผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ผมว่าการก่อกองไฟ น่าจะค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ ดูแลมัน จากไฟที่ติดเศษไม้เพียงเศษเดียว แล้วค่อยๆ เสริมสร้างพลังงานขึ้นมาแล้วก็ลุกลามไปยังเศษไม้ชิ้นอื่น ๆ เมื่อรวมกันก็ทำให้เกิดพลังความร้อนจนทำให้ฝืนกองใหญ่ๆ ลุกไหม้ได้ หึ ๆ …เศษไม้ก็มีพลังเหมือนกันนะ ถ้าเอามารวมกัน

แต่ผมก็ใช้น้ำมันก๊าดเป็นตัวช่วย เพราะคิดว่าเราคงก่อไฟไม่ติด ถ้าไม่มีมันในช่วงเวลาที่มีแต่ความชื้น ไม่มีความมั่นใจ…. เอ..หรืออาจจะเป็นเพราะอยากให้กองไฟติดโดยที่ไม่เลือกวิธีว่าจะทำยังไง ขอให้ไฟติดเป็นพอ ไม่รู้เหมือนกัน แต่กองไฟก็ติดแล้ว ไม่รู้ว่าฝืนอันแรก ๆ ที่ผมราดน้ำมันก๊าดลงไป มันจะยินยอมรึเปล่า ที่จะให้ไฟลุกบนมัน แต่ตอนนี้ไฟก็ติดแล้วด้วยตัวของมันเอง.. ผมก็แค่หาฝืนใส่ลงไปให้กองไฟ กองนี้ ลุกต่อไป ถ้าผมหาฝืนใส่ได้มาก กองไฟก็จะลุกโชน แต่ถ้าฝืนน้อย มันก็อาจแค่เพียงรักษากองไฟไว้ไม่ให้ดับไปเท่านั้นเอง

นี่ก้อค่ำแล้ว…แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ เห็นฟ้ายังคงมืดมิดเหมือนเดิม เทียนก็กำลังจะหมดแต่กองไฟก็ยังลุกต่อไป ยังคงให้ความอบอุ่นแก่ผมที่อยู่ใกล้มัน เทียนใกล้ดับแล้วแต่ผมก็คงจุดมันใหม่ได้ ทุกคนมีเทียนสำหรับแต่ละคน แต่กองไฟก็ยังให้ความอบอุ่นแก่ทุกคน ถ้าพร้อมที่จะเข้ามารับความอบอุ่นจากมัน… เทียนจะดับจริง ๆ แล้ว ก็คงต้องไปนอนดีกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ง่วงเท่าไหร่ ถ้าเทียนดับแล้วก็คงเขียนไม่ได้ (มองไม่เห็น) ตอนนี้ผมก็มีไฟฉายนะ แต่ไม่อยากใช้ เพราะอะไรน่ะเหรอ…. ก็ไม่รู้เหมือนกัน คำตอบก็คงแตกต่างกันไปแต่ละคน แต่สำหรับผมแสงที่มีความร้อนและความอบอุ่น จับต้องได้ มันมีค่ามากกว่าแสงที่ส่องสว่างแต่ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่สิ่งที่อยู่รอบข้างเลย แม้ว่าแสงนั้นมันจะสว่างมากแค่ไหนก็ตาม

***** ก็แค่ความรู้สึกของคนคนนึงที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง*****

คนที่ทำอะไรเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แม้ว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิต สิ่งหนึ่ง ที่ทำอะไรเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่คนที่มีชีวิตเพื่อสังคม แม้จะเป็นเพียงแสงเพียงเล็กน้อย แต่มันก็มีความอบอุ่น และมันก็คงภูมิใจที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่คนอื่นได้ แม้ว่าตัวมันเองจะต้องลุกไหม้ไปก็ตาม บางคนคิดเรื่องอิ่มท้อง แต่บางคนก็คิดเรื่องอิ่มใจ… ก็อุดมการณ์มันกินไม่ได้นี่น่า…

ประธานต้อม

hello@ น้องน้องอาสาทุก ๆ คน…

thanks มาก ๆ ที่ยังสร้างค่ายให้พี่มาระลึกอดีตเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่า คนเปลี่ยน , สถานที่เปลี่ยน แต่บรรยากาศไม่เคยเปลี่ยนเลย (พูดจริง) โดยเฉพาะค่ายนี้ (โคตรสนุกเลย) ไม่เคยรู้เลยว่า คนน้อยยิ่งสนุก รู้สึกว่ายิ่งมากคนก็มากความ แต่ใจจริงก็อยากให้ชมรมมีคนมากกว่านี้นะ จะได้มีคนช่วยทำงานเยอะ ๆ มีเสียงหัวเราะเยอะ ๆ สนุกดี

พี่ก็คิดว่าแต่ละฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตัวเองดีแล้วหล่ะ ไม่มีอะไร perfect ไปซะหมดในโลก (เฟ๊ะ ๆ) ใบนี้หรอก ไม่ต้องไป serious นะ ok.. ถ้าคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ทำใจให้สบาย แล้วถ้ามีโอกาสมาค่ายเรื่อย ๆ พี่ก็จะไม่พลาด sure! เพราะทุกคนในค่ายน่ารักกกก มาก… บางทีพี่ก็มีความคิดคล้ายๆ ออ..นอ (พี่นกของน้อง ๆ) ว่ามาเพื่ออะไร?

*พี่…ก็มาเพื่อทุกอย่างเลย ก็คิดถึงน้อง ๆ , คิดถึงค่ายฯ , คิดถึงกองไฟ , คิดถึงเด็ก ๆ , คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ (มาก ๆ) มันมีความสุขน่ะ (ถ้าไม่มีคงไม่มาหรอก)*

ก็ขอให้น้อง ๆ สู้ต่อไป…. พี่จะเป็นกำลังใจให้ ok?

คนเดิมใจเดิม


เสื้อค่าย รุ่นต้นไผ่ ค่ายฯ 16 เชียงราย ตำบลแม่สลอง (ที่อยู่ของชาวจียยูนานอพยพ) เราก็เลยคิดถึง ลำไผ่ สื่อแบบจีน ๆ แล้วเอาคำพูดอมตะของปราชญ์ชาวกะเหรียง ที่พูดไว้ในประเด็นป่าชุมชน มาดัดแปลง


จุลสารค่าย ฉบับที่ 26
ปลาเป็น-ปลาตาย เล่มที่ 13 ประจำค่ายฯ 16 (เชียงราย)

  • เกริ่น : บทบรรณาธิการ
  • ข่าวชาวค่ายฯ
  • ประวัติ ดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง
  • บทความ: เส้นทางสู่วิกฤต : มหาวิทยาลัยกับสังคมไทย โดย สุรชาติ บำรุงสุข
  • เรื่องสั้น: ขังเดี่ยว โดย รษฎา ปนาลี
  • ซอกแซกโลกกว้าง: ครบกำหนดติดฉลากจีเอ็มโอ แต่ไม่มีสินค้าติดฉลาก โดย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
  • การ์ตูน ตา-หลก
  • บทความ: แว่นกันแดด กับ หมวกแก๊ป โดย ม้าก้านกล้วย
  • อัตชีวประวัติบุคคล: ครูซัน แสงตะวันฉายในดอยมืด
  • บทความ: คนกับต้นไม้ โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
  • อ้าปาก-กระชากขำ
  • แนะนำคณะกรรมการค่ายฯ
  • ฝ่ายต่าง ๆ ของชมรมฯ
  • กำหนดการในแต่ละวัน
  • กฎระเบียบปฏิบัติของค่ายฯ
  • เพลงค่ายฯ
  • แผนที่ เดินทางไปค่ายฯ
  • บทกวี: อำลา โดย อูหมาด นาวารินทร์