รวมพลคนค่าย 19 โรงเรียนภูหญ้าคา อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี (17-31 ตุลาคม 2547)

19 ตค. 2547

ผมกลับมาจาก รพ.ศรีนครินทร์ อย่างไม่สบายใจ เมื่อทราบว่าช่างที่ผมส่งไปดูแลงานก่อสร้างอาคารเด็กเล็กก่อนวัยเรียน..ที่โรงเรียน ตชด.บ้านป่าหญ้าคา อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่างทิ้งงานความรับผิดชอบอ้างว่ากันดารเกิน อยู่ลำบาก เด็ก นศ. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ได้ติดต่อให้ผมหาอิฐชนบท ไปเป็นวัสดุในการก่อสร้างเพราะคิดว่าสวยดีและประหยัด ผมเลยพาไปดูที่แหล่งผลิต..เมื่อตกลงผมจึงจัดการหาวัตถุดิบ..และช่างให้ แต่เมื่อวันที่นัดทำงานกันมีการผิดพลาดอย่างไรไม่ทราบทำให้ช่างและ นศ.ไม่เจอ ไม่ได้คุยกัน..ช่างผมเลยน้อยใจทิ้งงานอ้างว่า ไม่ได้กินข้าวต้องไปขอข้าวบ้านกิน..บังเอิญช่างผมเป็นคน…หัวล้าน

20 ตค. 2547

ผมออกจากสุรินทร์ด้วยอาการเป๋..เนื่องจาก อาทิตย์หนึ่งก่อนหน้านั้นทำค่ายร่วมกับ นศ.รักป่าอยู่..และยังมีงานชุมชนอื่น ๆ อีก..แต่ผมก็ต้องไปค่ายที่ป่าหญ้าคา ด้วยอาการปวดหัวข้างซ้าย ผมแวะทานข้าวเที่ยงที่เขื่อนสิรินธร..มีคั่วใข่มดแดง..และปลาลาบ ต้มยำ ได้นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ..ผมเริ่มดีขึ้น..อยากนอนนาน ๆ แต่ทำไม่ได้..ผมต้องรีบไป เพราะไม่มีใครเคยก่อสร้างด้วยอิฐชนบท ที่ผมส่งไปให้มาก่อน..แม้แต่ช่างในหมู่บ้าน

ผมมองน้ำเขื่อนที่ท่วมทุ่งนาป่าไม้สุดลูกตา… อดีตที่นี้เป็นป่า…ช่างมันเถอะสิ่งที่ผ่านมา แม้สูญเสียอย่างมหาศาล..เราเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ต่อไปอย่าได้ให้มีกั้นคันหินซิเมนต์กั้นสายน้ำ..ฆ่าธรรมชาติ..อย่างนี้อีก

ผมเสี่ยงนำรถตู้ขึ้นไป ซึ่งไม่มีใครนำรถดี ๆ ไม่ขับเครื่องสี่ล้อขึ้นไปที่ป่าหญ้าคามาก่อน… ผมนั่งที่รถที่ค่อยไต่ขยักขยอกขึ้นเขาเตี้ยไปทางแนวทางรถอีแต๊กขึ้นไป..บ้างครั้งท้องรถตู้ครูดถนน..ผมต้องแขม่วท้องใจหาย รถดั๊มขนอิฐมาให้นศ..เพลาแตกไปแล้ว.. ผมมาถึงป่าหญ้าคาเกือบบ่ายสามโมง..ผมลงมือทำงานแก้แบบคานรับน้ำหนักทันที..แม้มันจะผิดไปแล้ว..ที่เอาเหล็กครึ่งหุนมามัดเป็นเป็นเหล็กคานไม่มีใครเขาทำกัน..แต่นักศึกษาก็ทำได้..ชาวบ้านก็ไม่ทักท้วง เพราะคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาที่เรียนสูง..แม้สิ่งที่เห็นรู้ก็รู้ว่ามันผิด.. กลางคืนน้องได้ให้เกียรติไปคุยด้วย ผมก็คุยง่าย ๆ ..เพราะอยากให้น้อง ๆ ได้สนุกกัน..

ชีวิตผมตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่สองไปออกค่าย..อาสา ก่อสร้างอย่านี้ เห็นแล้วเหมือนเห็นลมหายใจรวยรินของคนที่หมดแรงไร้ไฟ..แล้ว เห็นหนุ่ม ๆ นศ.5 คนกับสาว ๆ นศ.อีก 6 คน..น้อยจังเลย..อาคารเรียนจะสำเร็จไหม..หรือทำไมค่ายมันเหงาจัง… คืนนั้นผมเดินวนเวียนรอบ ๆ สนามหน้าโรงเรียนฟังเพลง..ปฎิวัติ..ด้วยความแปลก ๆ จนผมไม่เชื่อพลังของมัน..

21 ตค. 2547

ผมตื่นมาแต่เช้ามาตีฝังใหม่ก่อสร้างใหม่ เพื่อหาระดับการก่ออิฐ เด็กค่อยตื่นกันมา..ทานอาหาร..เคารพธงชาติ..แล้วทำงาน ตามหน้าที่ที่แบ่งไว้..งานดำเนินไปพร้อมกับการเรียนรู้ ของช่างชาวบ้านที่เริ่มเข้าใจ..จนผมมั่นใจ อิฐแต่ละก้อนถูกลำเลียงมาก่อมาต่อเป็นแถวขึ้น..จากแถวละก้อนเป็น..สองก้อนสามก้อน รูปร่างที่น้องทั้งหมดที่เสียเหงื่อตากแดดลมก็เป็นรูปร่าง…ในใจไม่ทราบได้ว่าน้อง ๆ คิดอย่างไร แต่อาคารเรียนเด็กเล็กขนาด 5 คูณ 10 กำลังสูงขึ้น..อีกหน่อยก็จะมีทับหลัง มีจั่วมีหลังคา.. มีเด็กมาเรียนได้อาศัยหยาดเหงื่อของพวกเราในการเรียนรู้เพื่ออนาคต..ของสังคม

หกโมงเย็นผมลาน้อง ๆ และชาวบ้านกลับ..มีครูตชด.ท่านหนึ่งลงมาเป็นเพื่อน..รถผมก็มาเสียเวลาไป.เมื่อน็อตอุดถังน้ำมันหลุดหายเมื่อท้องรถไปขูดกับหิน.. น้ำมันเครื่องไหลออกหมด..รถน็อคกลางป่า..ครูตชด.โบกรถชาวบ้านไปนำรถ ปิ๊กอัพ..พาแปะคนขับรถไปซื้อ น้ำมันเครื่องและน๊อต.. ตอนสี่ทุ่ม ผมโทรหาแฟนที่สุรินทร์วันนี้ไม่ได้ไปนอนกอดเธอแล้ว ต้องนอนกลางป่า…และโทรตามรถเพื่อนให้มาลาก เมื่อน้ำมันเครื่องมา แต่น๊อคเล็กกว่า ไม่เท่ากัน..แปะต้องไปหาถอดน๊อดใหม่ที่มีในรถเอามาใช้ก่อนก็ยังเล็กอยู่..เลยเอาผ้าเช็ดหน้ามาฉีก..พันรอบ ๆ น๊อคแล้วหมุนเกลียวเข้าไป..สนิทดี แต่..รถก็สตาร์คไม่ได้เพราะไฟแบตเตอรี่หมด..เพราะเปิดไฟฉุกเฉินทิ้งไว้..เมื่อรถคานมาถึงทางหลวง ต้องรอรถเพื่อนที่มาถึงตอนตี 3..เมื่อเพื่อนมาก็ใช่รถเพื่อนรากสตาร์คเครื่องติด ระบบต่าง ไม่ว่าพวงมาลัย เบรค รถก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม

ผมขอบ คุณครูเขียว ครูตชด. ที่มานอนกอดปืนเป็นเพื่อนที่ชายแดนในคืนนั้น..แล้วเราก็จากกัน
ผมมาถึงสุรินทร์..ตอน 4 โมงเช้า…

จ.จืด

22 ต.ค. 47 – เวลาประมาณบ่ายแก่ ๆ

(วันนี้เป็นวันที่ 5 ของการอยู่ค่าย) รู้สึกว่าค่ายนี้ ตั้งแต่ขึ้นรถไฟแล้ว คิดว่าจะตกรถไฟแล้ว พอเดินเข้าไปในชานชลาเห็นรถไฟกำลังค่อย ๆ เลื่อนออกไป เจ้าหน้าที่สถานีบอกว่าขบวนนี้ พวกเราก็วิ่งกันสุดกำลังเพื่อที่จะได้ขึ้นรถไฟ เหนื่อยมาก ๆ กว่าเราจะได้มาที่โบกี้ของตัวเอง – บนรถไฟก็เหมือนเดิม ต้องคอยดู คอยกัน คนที่ขึ้นมาให้เค้าไฟนั่งอีกฝั่งนึง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

พอมาถึงสถานีอุบลฯ ชุดเตรียมค่ายก็มารับพร้อมกับรถของ ตชด. ที่เราขอได้ พอมาถึงทางขึ้นโรงเรียน ที่คุยกันจะให้สมาชิกเดินขึ้นมา แต่ไม่รู้มีปัญหาอะไรให้นั่งรถขึ้นมา ยิ่งกว่า “รถกระแทก” อีก ทีม survey จะรู้ดี กว่าจะขึ้นมาถึงรู้สึกไส้ข้างในร่างกายจะต้องช้ำในแน่ ๆ เดินดีกว่า สบายกว่าเยอะ

ถึงแม้ค่ายนี้คนจะน้อย แต่ก็รู้สึกอบอุ่นดี สมาชิกช่วยกันทำงานดี ถึงแม้พี่ช่างที่เค้ามาคอยช่วยเราตอนแรก ถอดใจหนีกลับไปตั้งแต่ค่ายใหญ่ยังขึ้นมาไม่ถึงเลย แต่เราก็แก้ไขสถานการณ์ได้ มีพี่ ๆ ชาวบ้านมาช่วยกันเยอะเลย รู้สึกดีมาก ๆ ตอนนี้ตั้งตาและตั้งใจรอพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่จะ “ตามค่าย” มาถึงคงจะอบอุ่นยิ่งกว่านี้

ปล. ค่ายนี้พี่บรรลือ (ครู ตชด. ที่นี่) คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ต้องขอบคุณด้วยค่ะ

สายลมแห่งศรัทธา

23-10-47

แม้ค่ายนี้คนจะน้อยแต่ว่ากองไฟของพวกเราก็ยังอบอุ่น ก็ยังมีความยุ่งยากเข้ามาทุกวัน ปัญหาที่ไม่น่าเป็นปัญหา ไม่รู้คิดมากไปเองหรือเปล่า การทำงานในค่ายนี้มีชาวบ้านมาช่วยกันหลายคนเหมือนกับทุก ๆ ค่ายไม่เคยขาดเลย การทำค่ายตั้งแต่เริ่มต้นรวมกับความกดดันจากทุกสิ่งรอบข้าง และก็คำพูดของอาจารย์ที่อยากยุบค่าย ตอนนี้เราก็ผ่านมันมาจนเป็นค่ายฯ นี้ อยากทำให้ค่ายฯ นี้ เป็นค่ายที่ทุกคนประทับใจ

ลมเย็น เพลงไพเราะ อากาศดีจริงๆ อาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งที่กองไฟ มองดูแล้วกองไฟแต่ละค่ายรู้สึกแตกต่างกันมาก เป็นเพราะตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ยึดติดกับอะไรเก่า ๆ ยิ่งใกล้วันกลับก็ยิ่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ไม่รู้จะอยู่ที่จุด ๆ นี้ได้อีกนานเท่าไหร่ อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอนซักอย่าง แล้วคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ

แม้ว่าพวกเราจะไม่สนใจว่าค่ายจะถูกยุบลงจากมหาลัยหรือไม่แล้ว แต่ยังไงเราก็ยังรู้สึกผิดที่เราไม่สามารถทำให้ค่ายยังคงอยู่เพื่อสอนคนได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเข้าไปทำได้อีกเมื่อไหร่ ตอนนี้ไม่ว่าได้ยินอะไรก็รู้สึกหดหู่อยู่ตลอดเวลา ไม่อยากเลือกทางใดทางหนึ่งเลย

นิร

ตุลาคม 24 , 2547 (07.00)

มาถึง จ. อุบล ตั้งแต่เช้ามืดที่ท่ารถ (ตามมาทีหลัง) เดินเล่นกับพวกในตลาดสด กินโอวัลตินที่นั่น แต่อีกที่เหลือเพิ่มด้วยไข่ลวก (ผู้หญิงอะไรกินไข่ลวก) เดิน ๆ โบก ๆ รถมาตลอดทาง ทั้งสนุกและเมื่อย…. แต่มันดีว่ะ กว่าจะมาถึงบ้านหญ้าคาก็ไม่ใช่เล่น เพราะรถจอดยาก (กลัวไม่กล้าจอดรับมาด้วย) แต่โชคดีที่รถที่โบกได้คนขับ ๆ เร็วมาก แซงคันที่ไม่ยอมรับเราขึ้นหมดเลย (มันมาก ๆ) แถงยังเหมือนพวกต่างด้าวหนีเข้าเมืองอีก มาถึงก็รอนานมาก เพราะมีคนป่วยต้องดูแลให้หายก่อน (555) นอนหลับที่ปากทางเข้าค่ายฯ

ขึ้นมากับรถอีแต๊ก มันมาก ๆ เจอไส้เดือนตลอดทาง นึกในใจว่าคนที่นี่ขึ้นมากันได้ยังไงโดยรถอีแต๊ก…แต่มันก็มาถึง ได้พบกับเพื่อน ๆ น้อง ๆ และพี่ ๆ ที่มากันได้เกือบอาทิตย์กว่า ๆ แล้ว ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างตั้งใจ มองอาคารเรียนก็นึกว่านี่มันปราสาทหรือสถานที่โบราณที่จะสร้างถวายใคร แต่ก็กระจ่างเมื่อ ปธ. แนน บอกว่าไม้ราคาแพง และใช้อิฐแทน ซึ่งมันสวยมากแถมราคาแพงอีกด้วย

ก็เปลี่ยนผ้าไปช่วยโครงงานทำงาน แต่ก็หงุดหงิดนิดหน่อยเพราะทำไม่ถูก เริ่มไม่เป็น น้องและเพื่อนก็ช่วยกันสอน แต่ก็ยังไม่เป็นจนเค้าเลิกงาน เรียกกินข้าวพร้อมกัน

บรรยากาศรอบกองไฟสนุกมาก ๆ หัวเราะจนกรามแทบค้าง อากาศดี พระจันทร์สาดแสงสว่าง ลมโชยพริ้ว ร่ำสุรา ร้องเพลงกับทุกคน จนง่วงนอนหลับสนิท

เมืองหนาวไม้เก่า

26 ต.ค. 2547

ใกล้วันสุดท้ายเข้ามาทุกที รู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ ถ้าถามว่า “มาทำอย่างนี้ไม่รู้สึกเหนื่อยเหรอ” ก็เหนื่อยนะ…. แต่มีความสุขดีที่ได้ทำให้คนอื่นบ้าง หลังจากที่ทั้งชีวิตตัวเองที่ผ่านมามีแต่คนหยิบยื่นให้ ไม่เหมือนคนเหล่านี้ที่ไม่ค่อยมีใครที่จะหยิบยื่นอะไรให้…. รู้สึกดีอยู่ในระดับหนึ่ง อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอย่างนี้ รู้สึกเงียบสงบดี ไม่มีปัญญามากวนใจ แต่ก็ (27 ต.ค. 2547) เป็นห่วงที่บ้านยังไงก็ไม่รู้

อีกไม่กี่วันแล้ว งานก็เสร็จไปตั้งเยอะแล้ว เมื่อวานขึ้น ‘นั่งร้าน’ น่ากลัวมาก มันดูไม่มั่นคงยังไงก็ไม่รู้ (หัวโขกกับนั่งร้านด้วย….เจ็บอ่ะ)

แนนบอกว่าวันปิดค่าย แนนจะต้องเป็น ‘ซูลู’ มันคืออะไรอ่ะ ฟังจากอาการคนอื่น แล้วมันคงจะติดเป็นความทรงจำที่ดี (หรือป่าว) แน่เลย

ปล. อากาศดีมากเลย ปอดสะอาดแล้วมั้งเนี่ย…

ปักเป้า

27-10-04 / 11.30

คิดถึงการ์ตูนมั๊ก ๆ ทำงานไปก็นั่งหัวเราะ อมยิ้มไปคนเดียว เพราะแต่ละงานต้องอยู่กับที่นาน ๆ ใจจดใจจ่อกะมัน เลยต้องรื้อฟื้นเอาเรื่องสนุก ๆ ที่จำได้ในหัวมาคิดไปเรื่อย ๆ วันนี้เริ่มขึ้นหลังคาแล้ว งานที่อยู่บนพื้นดินเลยมีน้อย ตอนนี้หลายคนกลายเป็นคนว่างงาน ต้องมานั่งอ่าน นั่งเขียนอะไรตามประสาของตัวเองไป

ความจริงลึก ๆ ในใจคิดถึงบ้านทุกวัน บางวันคิดถึงมาก บางวันคิดถึงน้อย วันนี้คิดถึงนิดหน่อย มาอยู่ในค่ายก็รู้สึกว่าตัวเองคงเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในค่ายเลยนะเนี่ย แต่พี่ ๆ คนอื่นก็เป็นคนพูดสนุก หาเรื่องมาคุยกันได้ตลอดเวลา เราก็เลยยิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ แค่นั่งฟังก็สนกไปด้วยแล้ว

วันที่ 10 สำหรับค่าย ทุกคนได้แผลกันถ้วนหน้า เราก็ได้แผลเป็นจากแมลงต่อยมาหลายแผล พยายามคิดในทางที่ดีว่ามันแผลแห่งความทรงจำจากที่นี่ ถ้าพูดถึงความรู้สึก…อยู่ที่นี่เรารู้สึกว่าแห้งแร้งและไม่มีอะไรเลย พื้นดินแห้งผาก เดินไปก็เตะฝุ่นทรายขึ้นมากลบกหน้า เงยหน้าขึ้นฟ้าก็เจอแสงอาทิตย์ส่องเปรี้ยงเข้ามาเต็มๆ มองไปข้างหน้าก็มีแต่ทุ่งกว้างและต้นไม้ที่ดูแข็ง ๆ แห้ง ๆ สมเป็นอีสาน พอตกกลางคืนก็มีแต่ลมหนาวออกมา

ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมพวกเราจะต้องมาทำร้าย ทารุณร่างกายตัวเองแบบนี้ด้วย ทำไมไม่อยู่บ้าน เล่นเกมส์ ดูทีวี สบายไปวัน ๆ รอจนเปิดเทอมว่ะ? พอคิดแบบนี้ก็เริ่มมองตัวเองว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้ นี่เพราะเรามองเห็นแต่วัตถุนิยมอย่างเดียวใช่มั๊ย….เพราะคิดแบบนี้แหละถึงได้มาค่ายนี้ เพราะอยากเตือนตัวเองก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนไร้ค่า และพอมาแล้วก็ได้เปิดหูเปิดตาใหม่ ไม่เคยคิดเลยว่ามหาลัยเราจะมีเด็กแบบที่พบในค่ายนี้มาก่อน ทุกคนเป็นคนดี เฮฮา ไม่ถือตัว ขยัน อยากทำงานเพื่อสังคมและเห็นโลกมาแล้ว ผิดกับคนที่เราพอเจอหลาย ๆ คน

อ่ะนะ หน้านี้ไร้สาระ แค่อยากบ่นอ่ะ

เด็กขี้เกียจ

รู้สึกดีใจและมีความมากที่มีชาวค่ายมาออกค่ายที่นี่ (ภูหญ้าคา) มาช่วยกันสร้างอาคารขนาด 5X10 ก็กำลังคิดอยู่ว่าปีหน้าอยากจะรับเด็กอายุ 4-5 ปี มาทำเป็นชั้นอนุบาล แต่ไม่มีที่ให้เด็กนักเรียนได้เรียน เมื่ออาคารเสร็จก็คงจะเตรียมห้องไว้ให้เด็ก ๆ มานั่งเรียนและนอนกลางวัน หลังจากทานอาหารเที่ยง

น้อง ๆ ชาวค่ายน่ารักกันทุกคน แดดร้อนก็ไม่เคยบ่น มีปัญหาอะไรก็ช่วยกันแก้ ถึงแม้บางอย่างก็มีอุปสรรคบ้างก็ช่างมัน ภูมิใจแทนสถาบันฯ ที่สร้างหนุ่มสาวเหล่านี้ออกมาเพื่อพัฒนาดินแดนที่ห่างไกลเช่นที่นี่

จากยอดดอยแดนไกลใครจะเห็น
ยากลำเค็ญเพียงใดใจยังมั่น
จะปกป้องผองไทยชั่วนิรันดร์
ใจยังมั่นเพราะยังห่วงหวงแผ่นดิน

ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ
คือคำตอบที่รู้อยู่มิรู้สิ้น
ความภูมิใจลึกล้ำเป็นอาจิณ
รักแผ่นดินรักเกียรติศักดิ์นักรบไทย

คิดถึงยอดหฤทัยใจแทบขาด
แต่ไม่อาจตัดสินใจทิ้งไปได้
ด้วยหน้าที่ ศรัทธา ท้าใจกาย
คือความหมายเกินค่ากว่าชีวี

ส่งใจข้ามขอบฟ้ามาหาเสมอ
หวังเพียงเธอรอคู่อยู่ที่นี่
ขอให้รอวันรุ่งของพรุ่งนี้
ฟ้าคงมีพรชัยให้กับเรา

********************

ขุนเขาห่างไกล ยามจากไปไกลจากเธอ
ลุ่มน้ำสุดกว้างขวางมิอาจพรากใจ
ยามเธอเคียงกัน ใจฉันนั้นสุดหวั่นไหว
เฝ้าคิดถึงแต่เธอ เธอผู้เดียว

ใจมั่นเหนียวกับเธอ เธอเท่านั้น
ยามมองจันทร์ หวนคำนึงถึงรักเรา
แม้เราห่างไกลตา แต่ใจของเราใกล้กัน
ความผูกพันยังฝังตรึง ในวิญญาณ

ส.ต.ต. บรรลือ หะสูง
ครู ตชด. ศกร. ชุมชนภูหญ้าคา

27/10/04 (หลังกลับจากประชาสัมพันธ์) ประมาณ 16.00

ผมได้…………….ที่ค่าย

ผมไม่เคยมีความคิดเลยว่าสิ่งที่ผมจะได้จากการมาค่ายที่บ้านภูหญ้าคา มันจะออกมาหล่อหลอมผมในรูปแบบใด ทั้งจากสิ่งที่ปฏิบัติและในรูปแบบของความคิดที่แฝงไว้ในกิจกรรมภายในค่าย แต่นี้คือสิ่งที่ผมได้ :-

• ผมได้เจอและรู้จักเพื่อนพี่และน้องที่ ค่าย
• ผมได้สัมผัสงานก่อสร้างแบบใกล้ชิด ได้ลงมือทำทั้ง ๆ ที่ทุกครั้งผมได้แต่สร้างมันในกระดาษและคอมพิวเตอร์ที่ ค่าย นี้
• ผมได้เห็นความหวังของคนที่นี่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมากหรือน้อย ทั้ง ๆ ที่ในเมืองกรุงฯ แต่ละคนยังหวังแต่สิ่งลม ๆ แล้ง ๆ และเห็นแก่ตัว ขับเคี้ยวกันทุกวี่ทุกวัน
• ผมได้เห็นว่าการมาของเรามันมีค่าและยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขามากขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นดาบสองคม เพราะผมคิดว่า ค่าย มันเป็นอะไรที่บอบบางมาก มันเหมือนว่าระหว่างเรากับชาวบ้านมันมีอะไรก็ไม่รู้มาเป็นเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ตรงกลางในสายตาของพวกเขา (บางทีก็กลัวว่ามันจะทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว)
• ผมได้รับรู้ถึงปัญหาของชาวบ้านแม้มันจะไม่หมด ซึ่งผมก็ไม่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับ
• ผมได้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าและเริ่มที่จะรู้สึกว่าเราควรจะเป็นอะไรดี ระหว่างก้อนหินในสายน้ำที่เชี่ยวหรือกิ่งไม้ (ใบไม้)
• ผมได้รู้จักครู ตชด. คนหนึ่งที่ยอมสละความสบายของตัวเอง เพื่อทำในสิ่งที่เขาตั้งใจ (อุดมการณ์ของเขา) ที่ ค่าย นี้
• ผมได้ออกประชาสัมพันธ์และได้จับปลาในคูซึ่งค่อนข้างลึก แต่มันก็ไม่ติดอวนเลยสักตัว (สิ่งที่ผมซื้อกินในกรุงแต่กลับจับมันไม่ได้)
• ผมได้เสพบรรยากาศหนาวเย็น แบบไร้ซึ่งไฟฟ้าและน้ำประปา (เรียบที่สุด ธรรมชาติ) ถึงแม้ว่า 3 วันแรกผมยังรู้สึกแปลกๆ และเหนื่อย กระวนกระวายใจ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่อยากให้มันถึงวันที่ 30 เลย
• ผมได้เรียนรู้การทำกับข้าวที่ ค่าย นี้ ถึงแม้ว่าผมจะทำไม่ได้แบบเต็มๆ เลยสักทีเดียว
• ผมได้เห็นวิถีชีวิตแบบพอเพียงจริง ๆ คนกรุงฯ ที่ว่ากันว่าอยู่แบบประหยัด อดออม แบบเพียงพอ ยังไม่ได้ถึงครึ่งของชุมชนที่นี่
• ผมได้เห็นการให้อย่างจริงใจ ถึงแม้ว่ามันจะลำบากและเหนื่อยมาก แต่ทุก ๆ คนก็ยังหัวเราะ ยังมีแรงทำงานกันต่อ
• ผมได้ทำงานหนักทุกๆ วันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่ ค่าย นี้
• ผมได้เห็นความแตกต่าง ระหว่างคำว่า “แอบแฝง” และ “เปิดเผย” อย่างเด่นชัดจากการมา ค่าย
• ผมได้เจอ สัมผัส ฯลฯ จากการมา ค่าย ซึ่งผมคิดว่าผมเคยคิดว่าผมมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในตัวอยู่แล้วจากการเรียนมหาลัย อยู่คณะที่แน่นแฟ้น แต่มันก็แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะฉนั้นผมคงรับมันมาเติมที่เหลืออีกครึ่งนึงไม่ได้ ถ้าไม่มาเจอ ค่าย นี้

มันอาจจะดูเกินเลยความจริงไปใช่ไหม? แต่ว่าที่ผมเขียนเนี่ย…มันยังเหลืออีก 3 วันกว่าจะกลับ
คิดดูสิว่ามันจะมีอะไรอีกที่ ค่าย นี้

1 ในสมาชิกใหม่ของค่าย

ช_ญ

27/10/47

ตอนเย็นประมาณ 2 ทุ่มเศษได้นัดเจอกับพี่หมงที่นครชัยแอร์ จำพี่เค้าไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะเคยเจอแต่ในเว็บและในที่สุดก็ได้เจอกัน และพี่ปุ๊กก็ตามมาไม่นานเท่าไหร่และพี่เอกและพี่แบงค์ (พี่หรืออายุเท่ากันไม่รู้เหมือนกัน) เพื่อที่จะไปค่ายที่อุบลฯ กันไม่อยากบอกเลยว่าความรู้สึกเป็นอย่างไรพี่ ๆ หลายคนน่าจะรู้ว่าป้อมรู้สึกอย่างไร เพราะป้อมอยากไปมากและอยากไปตั้งนานแล้วในที่สุดก็ทำทุกวิถีทางจนในที่สุดได้ไป นั่งรถทัวไปและได้คุยกับพี่ปุ๊กบนรถและพี่เค้าคุยสนุกมาก ๆ และเก่งจนไม่อาจบรรยายได้ ดีมากเลยเพราะป้อมคุยไม่เก่งสนุกอย่างแรง

28/10/47

ถึงอุบลฯประมาณ 6.30 น.โดยประมาณ ที่ อ.เมือง เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน แต่ป้อมก็ไม่รู้หรอกว่าพี่คิ้มจะมาด้วย (รู้สึกว่าเราไม่ค่อยรู้อะไรเลย) เสร็จธุระทุกคนแล้วก็นั่งรถพี่คิ้มไปที่ อ.สิรินธร ผ่านเขื่อนสิรินธรด้วย ยังเช้าอยู่สวยมากค่ะและถึงที่ รร.แก่งศรีโครตใกล้ ๆ อนามัย (ไม่แน่ใจว่าชื่อ รร.ถูกเปล่า) ประมาณ 09.30 น.โดยประมาณ นั่งกินข้าวก่อนที่จะเดินทางเท้าไปที่ รร.ภูหญ้าคา และเดินทางเท้าไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ทางไม่ค่อยสะดวยเท่าไหร่ค่ะไปยากมาก ถ้ารถคงเป็นรถอีแต๊ก ๆ ที่เค้าไว้ไถนาน่าจะสะดวกสุดค่ะ การเดินทางเท้าสำหรับป้อมวันนี้เหนื่อยค่ะ และอากาศก็ร้อนด้วยค่ะแต่ไม่ท้อนะค่ะกลับรู้สึกสนุกกับมันมากกว่า เพราะเรานั่งทำงานทุกวันไม่ค่อยได้ออกกำลังการเท่าไหร่และมีพี่ ๆ คุยกันสนุกค่ะลืมบอกไปว่าที่เดินทางไปด้วยกันมี พี่บิ๊กหมง พี่คิ้ม พี่ปุ๊ก พี่เอก พี่แบงค์ และป้อมค่ะ และอีกความรู้สึกอีกอย่างคือยังมีหมู่บ้านที่ลำบากและไกลความเจริญขนาดนี้เลยเหรอ ทั้ง ๆที่เราเองก็เป็นคนชนบทนะและก็ไม่ถึงขนาดนี้และความเจริญมันก็เข้าไปถึงทุก ๆ หมู่บ้านทำไมสังคมมันเลื่อมล้ำกันจังเลยและในที่สุดป้อมก็ไปถึง รร.ภูหญ้าคา ประมาณเที่ยง และก็ได้คุยกับคณะกรรมการเกี่ยวกับเรื่องค่ายเพราะเราไม่เคยผ่านค่ายมาก่อนเกี่ยวกับการทำตัวว่าต้องทำอย่างไร คุยเสร็จป้อมก็เดินไปดูอาคารและก็ช่วยพี่ทำงานเลย ขัดหน้าต่างได้ไม่นานพี่ ๆ ก็เรียกไปกินข้าว พอกินข้าวเสร็จก็ขัดหน้าต่างต่อและเทพื้น (เหนื่อยนะ) แต่สนุกดีค่ะและอีกความรู้สึกคือเราจะรู้สึกแปลก ๆ เพราะทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่ค่ะแต่ก็พยายามเต็มที่กับมัน แต่ก็ช่วยเต็มที่เพราะคิดอยู่แล้วว่ามาแล้วเราจะช่วยเต็มความสามารถเราเลย เทพื้นจนเสร็จดีใจจังปวดเมื่อยมาก อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำเลยรู้สึกเมื่อย งานเสร็จก็ไปอาบน้ำ กินข้าว ตามพี่ ๆ เค้าและก็นั่งรอบกองไฟ ชอบมาก (อากาศดีมาก ลมเย็น) ไม่สามารถบรรยายได้เพราะมีความสุขมากได้นั่งฟังเพลงเพื่อชีวิตที่เราชอบ และได้คุยกับพี่ ๆ ทุกคนและน้อง ๆ ด้วยค่ะ พอดึกหน่อยก็นอนดูดาว ความสุขที่ไม่ค่อยมี ถ้าอยู่กรุงเทพฯ อยากอยู่อย่างนั้นตลอดไปแต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกความจริง (ต้องยอมรับมัน) จะดีกว่านี้นิดหน่อยถ้าได้ยาดองเผอิญเป็นใบเตยกินไม่เป็นยกไปหนึ่งจอกพอแล้วกลิ่นไม่ค่อยดี ไม่เคยกินด้วย นอนประมาณ ตีสามได้มั้งวันนี้

28/10/47

วันนี่อยู่ สวัสดิการ ทำอาหารไม่ค่อยเป็นหรอกกินเป็นอย่างเดียวมีน้องฮวง น้องปุ๋ย น้องเพื่อนแนน และพี่ภา (แฟนพี่ลือ) และป้อม และป้อมก็เป็นลูกมือช่วยได้ทุกอย่างยกเว้นทำอาหาร (ถ้าทำคงกินไม่ได้แน่เลย) วันนี้ไม่ได้ช่วยงานโครงงานเท่าไหร่ค่ะ รู้สึกเหลือมุงกระเบื่องกับใส่หน้าต่างแต่ก็เข้าไปแปบหนึ่ง เพราะตอนบ่าย 3 โมงต้องไปซ้อม ซูลู ดูแลโดยน้ำโขงและพี่รุ่ง ไม่อยากบอกความรู้สึกเลยว่า อายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โว๊ย เพราะตัวเองเป็นคนขี้อาย แต่ดูภายนอกแข็ง ๆ แต่ขี้อายนะ แต่ไม่เป็นไรอีกแบบที่ไม่เคยทำลองทำดู แต่ท่าเต้นที่รับไม่ได้คือ ลามก สิ่งเดียวที่ไม่ชอบมากที่สุดและรับไม่ได้คือท่าเต้นลามก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทำเพราะมีพระเอกขี่มาขาวมาช่วยเรา ว่าลามกเกินให้เปลี่ยนแบบใหม่ ดีใจจัง ในที่สุดก็ถึงเวลา วันนี้ดื่มใบเตยไปหลายจอกขนาดกลิ่นไม่ค่อยโสภานะเนี่ย เพราะอายไงต้องกินย้อมใจซะหน่อย เสร็จจาก ซูลู ถึงเวลาอาบน้ำไม่อยากบอกเลยว่านานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มากเพราะสีทั้งนั้นเลยหมดน้ำไปหลายถังเลย คนเดียวนะเนี่ย เสียดายน้ำเพราะน้ำไม่ค่อยมี น้อยมาก ต้องใช้อย่างประหยัดเท่าที่ทำได้ อาบเสร็จก็นั่งรอบกองไฟอีกแล้วชอบจังเลย ได้นอนดูดาวอีกหนึ่งคืนแล้ว และวันนี้เป็นวันเปิดใจกับคนที่ไปค่ายกันทุกคนแต่เราพูดอะไรไปเยอะเหมือนกันคะ นอนตอนไหนจำไม่ได้เหมือนกันเกือบเช้าได้มั้งเพราะคืนสุดท้าย คืนอำลา ต้องอยู่นานหน่อย

29/10/47

ตื่นเช้า 08.00 น. รู้สึกงง เพราะนอนดึกมาก (ไม่ใช่สิเกือบเช้าเลย) วันนี้เราต้องกลับแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเลยอยากอยู่ต่อจังแต่ก็ไม่ได้เพราะกำหนดการเค้าเป็นวันนี้ วันนี้รู้สึกว่าทุกคนไม่ค่อยสนุกกันเท่าไหร่ รู้สึกเศร้าด้วยมั้งเราด้วยแหละ รู้สึกได้ว่าแป๊บเดียวเอง เก็บข้าวของเสร็จก็เตรียมตัวกลับค่ะ และสุดท้ายก็มีร้องเพลงอำลา รู้สึกเศร้าจังขนาดว่าเรามาแค่ไม่กี่วันยังรู้สึกอย่างงี้เลยอ่ะ แต่ถ้าอยู่ครบค่ายเราต้องเศร้ามากกว่านี้แน่เลย ออกจาก รร.ภูหญ้าคา ประมาณเกือบเที่ยงได้มั่งคะ

รู้สึกว่าน้อยมากกับการมาค่ายอยากมาให้นานมากกว่า พูดไปก็เหมือนข้ออ้างเนอะแต่อยากมาจริง ๆ นะถึงจะไม่กี่วันแต่ก็พอใจมากและประทับใจเพราะน้ำใจ เราหาจากคนที่อยู่กรุงเทพฯไม่ได้ถึงจะได้ก็น้อยมากจริงๆ แล้วการมาค่ายสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีกันเนอะไม่รู้ว่าทำไมสังคมมันเปลี่ยนไป ใจคนก็ต้องเปลี่ยนเหรอ ไม่รู้ทำไม คำถามที่หาคำตอบยาก ความรู้สึกป้อมไม่ค่อยแปลกกับความลำบากเท่าไหร่หรอกเพราะตัวเองทำงานและหาเงินเรียนเอง ค่าเทอมก็ไม่ใช่ว่าถูก ไม่คิดว่าตัวเองจะหาได้ด้วยซ้ำไป แต่ทำได้ แต่อยากทำอะไรให้สังคมบ้าง เพราะตัวเองอยู่ในสังคมก็อยากให้สังคมดี และมีคนที่ช่วยเหลือสังคมเยอะ และขอให้กำลังใจน้อง ๆ ที่ทำค่ายมีบางอย่างที่เข้ามาอาจไม่ค่อยดีและรับไม่ได้แต่ก็ยังไงมีพี่ ๆ บางกลุ่มชื่นชมอยู่ข้างหลังอาจจะเล็ก แต่มี ถ้อได้ ทุกคนท้อได้ แต่อย่าถอยแล้วกันนะค่ะ เยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็นกำลังใจเสมอ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดยอมรับมันด้วยสติที่ตั้งมั่น

สุดท้ายขอขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่ให้ไปค่ายไม่เต็มค่ะ ขอบคุณอย่างแรงและหวังอย่างแรงว่าน่าจะได้มีโอกาสอีกต่อ ๆ ไปนะค่ะอย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะค่ะ

ป้อม บาว

ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ แต่มีแรงกาย จังแปลงเป็นแรงงาน วัตถุประสงค์ที่มาค่ายคือ จะมาสร้างโรงเรียน ชีวิตไม่สามารถหยุดนิ่งได้ ถ้ามีโอกาสก็อยากไำด้เข้าร่วมกิจกรรมกับหลาย ๆ คนอีก วันนี้ยังมีใจเพื่อที่จะทำประโยชน์ วันข้างหน้าไม่มีทางรู้ได้ วันหนึ่งเราอาจจะเปลี่ยน ท้องฟ้าแม้จะเปลี่ยนสีแต่ก็ยังคงตำแหน่งเดิม

ด้วยความเคารพทุกคน
29 ต.ค. 2547

ก่อนนัด

30 OCT 01

มีความสุขมาก ๆ ดีใจที่ได้กลับมาค่ายฯ อีกครั้ง… อยากกลับมาหาเพื่อนเก่า บรรยากาศเดิม ๆ ขอบคุณน้อง ๆ ที่ทำให้ยังมีค่ายฯ สวย ๆ ให้พี่ได้กลับมาหาบ่อย ๆ

โดยเฉพาะค่ายนี้….แค่เดินขึ้นมาก็เครียดแล้ว ก็เดินเท้าขึ้นมาประมาณ 1-2 ชม. แถมแบกของที่หนักอึ้ง แถมทั้งถูกกัด ถูกเหน็บ โดยเพื่อนพี่น้องร่วมงานมาตลอดทาง (เอก , แบงค์ , พี่คิ้ม , ป้อมบาว , ไอ้หมง) พอขึ้นมาถึง ร.ร. นึกว่าจะสบ๊าย…สบาย ไม่ต้องทำอะไรมาก ที่ไหนได้…อาคารยังไม่ได้เทปูนเลยค่ะ (อารมณ์เสีย) ต้องลุยงานด่วน!! ยังไม่ทันจะสูด O2 เข้าไปเต็มปอด ก็ต้องสูด CO2 เข้าไปอีก ขอบอกว่า (โคตร) เหนื่อยเลย แต่ก็อยากเห็นอาคารเสร็จเร็ว ๆ ประมาณว่าทำงาน ยังกะเสือชีต้าผสมกับแรด ทั้งเร็วทั้งอึดทั้งทน เหนื่อยแทบขาดใจ…เมื่อยไปหมดทั้งตัว ล้าจากนั่งรถทัวร์ยังไม่ทันหาย ก็เดินขึ้น ร.ร. มา เจองานที่อาคารเข้าไปอีก มันเหมือนกับเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว แต่ก็ได้น้อง ๆ มาช่วยกันบีบนวดให้หายล้า ก็ค่อยยังชั่วขึ้น….ก็คิดว่าพอเสร็จงานจะนอนพักให้เต็มที่ไปเลย แต่ก็นั่งรอบกองไฟจนถึงตี 3 ครึ่ง (เริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่คนรึเปล่า)

ตื่นเช้าขึ้นมาก็นำร้องเพลงชาติ แล้วก็ออกกำลังกาย เจอท่าเด็ด…ว่ายน้ำ 4 Style มีทั้ง Freestyle , ท่ากรรเชียง , ท่ากบ , ท่าผีเสื้อ….ตลกดี!! ไม่รู้ทำไปได้ไง ท่าเพี้ยนๆ แบบนี้ก็ถนัดจั๊ง… ไม่เข้าใจตัวเองเลย

ที่เด็ด…ก็คือต้องเป็นครูฝึก “หางเครื่อง” เห็นแค่รายชื่อสมาชิกก็ขำแล้ว มี หมง, พี่คิ้ม, เอก, แบงค์ ส่วนผู้หญิง สา, ปุ๋ย, ฝน, เหมียว ยังกะจับปูยักษ์ใส่กระด้ง ปวดหัว..ตุ้บ ตุ้บ !! ก็เลยขู่ว่าถ้าไม่ช่วยกันคิด จะคิดให้แล้วจะมาโอดครวญร้องไห้ไม่ได้นะ เพราะท่าที่เจ๊ปุ๊กคิดเนี่ยไม่ธรรมดานะคะขอบอก แต่ก็ให้คิดไปงั้นแหล่ะ เพราะมีท่าให้เต้นอยู่ในใจแล้ว จะเอาไว้แกล้ง หมง, คิ้ม, เอก, แบงค์ ไม่มีใครกล้าหือเพราะว่าเรามีอำนาจสุด ก็เป็นนักเรียนก็ต้องเชื่อฟังครูฝึก สะใจสุด ๆ อิอิอิ ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บอกตามตรงว่า ประทับใจ Dancer ค่ายนี้มาก ๆ ทั้งตลก ทั้งสนุก ในฐานะครูฝึก ไม่เคยขำท่าเต้นของ Dancer ค่ายไหนเท่าค่าย 19 นี้เลย ขอชมว่า Dancer แต่ละคนมีลีลาเฉพาะตัวที่เจ๋งจริง ๆ โดยเฉพาะ หมง, พี่คิ้ม, เอก คิดว่าคงได้เห็นท่าเต้นทื่อ ๆ เหมือนท่อนไม้ แต่ตรงกันข้ามซะ….ลีลาพริ้วไหวเหมือนสายลมและทุกคนก็จริงจังมาก ทุกคนน่ารักแล้วก็เจ๋ง! จริง ๆ พวกนายแน่มาก…..!!

พอถึงวันกลับ….คิดว่าจะไม่ร้อง แต่ก็ร้อง มันมีสาเหตุจากน้องแนนและน้องฮวง ทั้งสองคนนี่แกร่งจริง ๆ เข้าใจถึงจิดวิญญาณค่ายฯ ดีใจที่ค่ายยังมีคนดี ๆ เข้ามาช่วยเหลือกันอยู่ พอนึกถึง 2 คนนี้ก็โฮแตกเลย นึกแล้วสมเพชตัวเอง ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ค่ายเลย แต่น้อง ๆ ก็บอกว่าแค่ได้เห็นพี่ ๆ กลับมาหา มาเยี่ยมค่ายก็ดีใจแล้ว เราก็เลยมีกำลังใจอยากกลับมาหาบ่อย ๆ เท่าที่เราจะกลับมาได้ เพราะจะได้เจอเพื่อนรัก (ออนอ, หมง) แล้วก็ได้เจอกับน้อง ๆ อีก

ขอให้ค่ายฯ อยู่ต่อ อย่าได้ล้มเลย

คนเดิมใจเดิม

สำหรับตัวผมเองได้มีโอกาสติดตามกองไฟกองนี้….’ค่าย’ ค่าย ABAC ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีชมรมค่ายฯ ABAC เป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไปของบประมาณจาก ABAC มาจัดกิจกรรมรูปแบบค่าย แล้วผมก็มีโอกาสเป็นสมาชิกค่าย จากวันนั้น…จากแค่กลุ่มคนที่ไม่มีใครรู้จัก เรามีชื่อของตัวเอง เราเรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มค่ายฯ ABAC’ จนเป็น ‘ชมรมค่ายฯ ABAC’ 9 ปีผ่านไป… ผมอาจจะหล่นหายไประหว่างทางบ้างในบางช่วงเวลา สำหรับภาระของชีวิต แต่ก็พยายามดิ้นรนเพื่อจะกลับมา

ถึงวันนี้…ตอนที่ได้รู้ว่าอาจจะเป็นค่ายสุดท้ายก็ใจหายเหมือนกัน แต่จากที่นั่งทบทวน มานั่งคิดดู ผมไม่ค่อยห่วง…. ไม่ค่อยห่วงมันเท่าไหร่ รู้สึกว่าถ้าเราต้องกลับไปเป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วต้องกลับของบประมาณ ABAC มาทำค่ายอีก ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก สถานภาพต่าง ๆ ชื่อกลุ่มหรือชมรม มันไม่สำคัญหรอก สำคัญว่าเราทำอะไร….เราพาลูกคนรวย ลูกชนชั้นนำในประเทศไทยมาเจออะไรแบบนี้ได้ไหม 10 วัน 15 วัน เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ไหม ถ้าน้องยังอยากจะทำอะไรแบบนี้อยู่ผมว่ามันไม่สำคัญ ในเมื่อ ABAC มันเอาตัวเลข 20 คนมาจับเรา ก็ช่างมัน… มันก็แค่ตัวเลข แทนที่ค่ายหน้าจะเป็นค่ายที่ 20 กลายเป็นค่ายที่ 1 มันก็แค่ตัวเลข สิ่งสำคัญคือพวกเรานั้นแหละ… พวกเรายังอยากจะทำค่ายแบบนี้อีกหรือเปล่า…. น้อง ๆ ที่มาค่าย 5 คน เด็กใหม่ อยากจะมีแบบนี้อีกหรือเปล่าในมหาลัยที่ได้ชือว่า ‘เห็นแก่ตัวที่สุดในประเทศไทย’ อันนั้นผมว่าสำคัญกว่า..

ผมอยากจะขอชื่นชมคณะกรรมการค่ายชุดนี้ เพราะว่าเราได้สัมผัส เราได้คลุคลี เราได้พูดคุยกับน้อง ๆ มาเยอะ เรารู้ว่าน้อง ๆ เจอปัญหาอะไรบ้าง สถานการณ์ที่กดดันแบบนั้น มีคนทำงานอยู่แค่นี้ แต่ทำค่ายได้สวยงามขนาดนี้ ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา เป็นประธานค่ายผมก็ทำไม่ได้ดีขนาดนี้ ผมขอชื่นชมจริง ๆ พี่ขอชื่นชมด้วยใจจริง พวกคุณเจ๋งมาก พวกคุณเดินขึ้นไปที่ Q4 หรือสโมฯ ถึงแม้เขาจะสั่งให้เรายุบชมรม เราก็คงไม่ต้องก้มหน้าเดินออกมา เราสามารถเดินอย่างสง่าผ่าเผยได้ว่าเราทำค่ายที่ดีที่สุดค่ายนึงได้ ถึงแม้หน่วยงานที่เราสังกัดเขาจะไม่เห็นค่าก็ตาม

กับ ‘ค่าย’ – ผมขอบคุณค่ายๆ นี้ ไม่ว่าน้องคนไหนที่ชื่นชมพี่ ๆ คนไหนว่าดี ว่าเก่ง ยังไงก็แล้วแต่ พี่ ๆ ก็เป็นคนธรรมดา สิ่งที่ผมบอกคุณทั้งหมดคือสิ่งที่ค่ายบอกกับผม ผมทำหน้าที่แค่คนนำสารอันนั้นมาบอกคุณเท่านั้นเอง แล้วผมก็หวังว่าคุณจะบอกสารเหล่านี้กับคนอื่นต่อไปเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบอะไรก็ตาม ขอให้เราบอกสิ่งที่ควรจะบอก สิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาเห็นว่ามันไร้ค่า

จากวันนี้ถ้ามันจะไม่มีกองไฟแบบนี้อีก จะไม่มีบรรยากาศแบบนี้อีก จะไม่มีค่ายอีก เราก็คง…อาจจะไปนั่งเหล้ากัน..ไปนั่งเล่าเหตุการณ์เก่า ๆ แต่พี่เชื่อน้อง ๆ กรรมการค่ายทุกคน ทุกรุ่น กล้าพูดกับคนอื่น ใครก็ตามได้อย่างเต็มปากว่ามันเป็นห้วงยามแห่งชีวิตที่เราภาคภูมิใจที่สุด…

ม้าก้านกล้วย


เสื้อค่าย รุ่นเด็กรักป่า ค่ายฯ 19 จ.อุบลฯ แบบเสื้อเป็นรูปวาดสีน้ำจากสมุดบันทึก กลุ่มเด็กรักป่า จ.สุรินทร์ ด้านหลังเป็นชื่อชมรม


จุลสารค่าย ฉบับที่ 34
ปลาเป็น-ปลาตาย เล่มที่ 23 ประจำค่ายฯ 19 (อุบลราชธานี)

แบบปกได้มาจากภาพวาดในสมุดบันทึกของ กลุ่มเด็กป่า จ.สุรินทร์ ซึ่งใช้เป็นแบบเสื้อค่ายด้วย